posttoday

'มิ่งขวัญ'ถล่มรัฐผลาญ8.4ล้านล้านไร้ทิศทางเชื่อไม่รอดหนักกว่าปี40

03 กรกฎาคม 2563

'มิ่งขวัญ'ซัดเพียง7เดือน"ลุงตู่"เอาเงินของประชาชนไปใช้ 8.4 ล้านล้านบาทแล้ว เปรียบหากเป็นบริษัทเขาปลดผู้บริหารที่ใช้เงินอุตลุดแต่ไม่ก่อให้เกิดรายได้แล้ว  

เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เป็นวันที่ 3 โดย นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ อภิปรายว่า งบประมาณปี 2563 นั้นรัฐบาลขอมา 3.2 ล้านล้านบาท แล้วบอกว่ามีรายได้ที่จัดเก็บ 2.7 ล้านล้านบาท ขณะที่งบขาดดุล 4.6 แสนล้านบาท แต่ปรากฎว่าครึ่งปีงบประมาณ 2563 คลังเก็บรายได้ได้เพียง 1.1 ล้านล้านบาท

ดังนั้น อย่างไรก็ไม่มีทางจัดเก็บรายได้ถึง 2.7 ล้านล้านบาท จากนั้นรัฐบาลยังมาขอกู้เงินอีก 1 ล้านล้านบาท เพื่อเอาไปเยียวยาและดูแลเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลดื้อ ถ้าเป็นตนจะไม่ทำอย่างรัฐบาล เพราะ 6 แสนล้านบาทนั้นท่านแบ่งให้กับประชาชน โดยแบ่งเป็นแจกเงินให้ผู้ได้รับผลกระทบ 16 ล้านคน 2.4 แสนล้านบาท เกษตรกร 10 ล้านครัวเรือน 1.5 แสนล้านบาท และกลุ่มเปราะบาง 13 ล้านคน 3.9 หมื่นล้านบาท รวม 4.2 แสนล้านบาท โดยในส่วนของเกษตรกรนั้น ยังมีบางรายที่ตายไปแล้วแต่กลับมีชื่อได้รับเงินด้วย

อย่างไรก็ตาม ถ้าเปรียบเป็นบริษัทนั้น เขาปลดผู้บริหารที่ใช้เงินอุตลุดแต่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือยอดขายไปแล้ว เพราะเวลาไม่ถึง 7 เดือน เอาเงินของประชาชนไปใช้ 8.4 ล้านล้านบาทแล้ว ขณะที่อีก 4 แสนล้านบาทนั้นก็ยังคลุมเครือ ไม่รู้ว่าเอาไปใช้อะไรบ้าง เมื่อรวมกับพ.ร.ก.ให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยออก Soft Loan 5 แสนล้านบาท และพ.ร.ก.ดูแลเสถียรภาพภาคการเงิน 4 แสนล้านบาทด้วยนั้น ตรงนี้มีแนวโน้มสูงที่จะเกิดความไม่โปร่งใส

นายมิ่งขวัญ กล่าวอีกว่า ขณะที่ปี 2564 งบประมาณ 3.3 ล้านล้านบาทนั้น ถือเป็นที่สุดของที่สุด เพราะเป็นงบที่สูงที่สุดตั้งแต่ประเทศไทยเคยมีมา ท่านกล้าหาญในการตัดสินใจมาก แต่ทำไมในช่วงวิกฤตถึงไม่กล้าหาญทำงบแบบสมดุล แล้วยังมาบอกด้วยว่า ในปี 2564 รัฐจะมีรายได้ที่จัดเก็บ 2.67 ล้านล้านบาท ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ และงบขาดดุล 6.23 แสนล้านบาทนั้น ถามว่าท่านจะเอางบประมาณที่ไหนมาใช้

"ผมว่าไม่รอดหรอก เตรียมตัวกันให้ดี วิกฤตปี 2540 เรื่องเล็กไปเลย ทั้งนี้ ท่านเป็นรัฐบาลมา 6 ปีกว่า ตรงนี้จะพิสูจน์สติปัญญาท่านว่าคิดอะไรกับประเทศ เครื่องยนต์เศรษฐกิจของไทยอย่างการท่องเที่ยวดับไปแล้ว และอีกเครื่องยนต์ที่จะมีปัญหาคือการลงทุน เพราะประเทศไทยมีอันดับความโปร่งใสอยู่ลำดับที่ 101 ซึ่งมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน"นายมิ่งขวัญ กล่าว ทั้งนี้ได้เคยเตือนแล้วว่า การใช้เงินก้อนนี้มันเยอะ กรรมาธิการสามัญอาจเอาไม่อยู่ กรรมาธิการวิสามัญนั้นต้องเกิดขึ้น ตั้งกรรมาธิการซ้อนกรรมาธิการตรวจสอบเป็นชั้นๆ ไป แต่ท่านกลับยังใช้วิธีการเดิมๆ อยู่คือ มีโควตารัฐบาล แม้พรรคการเมืองเสนอบุคคลภายนอกเข้ามาได้ แต่บางท่านยังเป็นจำเลยที่อยู่ในคดีด้วย ไม่มีความโปร่งใสเลย แล้วท่านจะเอามาพิจารณาความโปร่งใสได้อย่างไร

“สำหรับผม ถ้าสีดำมันก็คือสีดำ สีขาวมันก็คือสีขาว ถ้าเป็นสีดำแล้วจะให้บอกว่าเป็นสีขาวผมไม่เอาด้วย คิดกันให้รอบคอบ ขอให้รัฐบาลโชคดี อยากอยู่ 20 ปีก็อยู่ไป แต่อยากฝากถึงประชาชนว่า จดชื่อเอาไว้ อีกไม่นาน เวลาไปเลือกตั้งจำชื่อไว้ให้ดีๆ ใครทำอะไรเอาไว้”นายมิ่งขวัญกล่าว

ด้าน นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า หลายคนโทษองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ ว่าไม่ทำงาน แต่ความจริงไม่ใช่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถูกทำให้อ่อนแออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในระบอบประชาธิปไตย ศัตรูของประชาชนจึงไม่ใช่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่เป็นรัฐราชการรวมศูนย์

ทั้งนี้ มีการแทรกกองทุนประชารัฐสวัสดิการไว้ในงบของท้องถิ่น 2,647 ล้านบาท กรรมาธิการงบประมาณบอกตั้งแต่ปีที่แล้วว่าต้องเปลี่ยนชื่อ หรือไม่ก็ต้องตัดงบก้อนนี้ออก ถ้าไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนเป็นชื่ออะไร ซึ่งตนขอตั้งชื่อว่า เป็นงบหาเสียงประชารัฐสวัสดิการ ซึ่งผิดทั้งหลักการ ผิดทั้งมารยาท ผิดทั้งหลักจริยธรรมที่ดีของการตั้งงบประมาณด้วย ถ้างบท้องถิ่นยังเป็นแบบนี้ประเทศไทยไม่มีวันเจริญ การกระจายอำนาจเท่านั้นจะเป็นคำตอบการใช้งบที่มีประสิทธิภาพ ควรคืนอำนาจประชาชน จัดเลือกตั้งท้องถิ่นทุกระดับทันที เพราะชาวบ้านเขาสงสัยว่า การที่ไม่ให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นนั้นเกี่ยวข้องกับการสืบทอดอำนาจของพวกท่านหรือไม่