posttoday

"รสนา" จี้กรมศุลฯ ยึด "นาฬิกาเพื่อนลุงป้อม" เข้าหลวง

16 มิถุนายน 2563

รสนา โตสิตระกูล ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมศุลฯ ให้ริบนาฬิกาหรูเพื่อน พล.อ.ประวิตร หลังพบไม่ได้เสียภาษี

เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา โพสต์ภาพหนังสือที่ทำถึง นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ อธิบดีกรมศุลกากร เพื่อให้ดำเนินการยึดนาฬิกาหรูของ นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ นักธุรกิจชื่อดัง เพื่อนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หลังพบว่าไม่ได้ผ่านพิธีศุลกากรอย่างถูกต้อง

น.ส.รสนา ระบุว่า ยื่นหนังสือถึงกรมศุลกากรครั้งที่ 2 ให้ริบนาฬิกาผิดกฎหมายเข้าหลวง วันนี้ดิฉันได้ส่งหนังสือถึงอธิบดีกรมศุลกากร ให้ดำเนินการริบนาฬิกาหรูที่ไม่ได้เสียภาษีนำเข้าให้ตกเป็นของแผ่นดิน โดยดิฉันส่งหนังสือทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ

ดิฉันเคยยื่นเรื่องดังกล่าวเป็นหนังสือถึงอธิบดีศุลกากร คนก่อนเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2561 แต่ไม่ได้รับคำตอบกลับ บัดนี้เมื่อ ป.ป.ช.มีมติชัดเจนว่า นาฬิกาดังกล่าวเป็นสมบัติของนายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว นาฬิกาดังกล่าวจึงตกทอดไปยังทายาทของนายปัฐวาท เมื่อมีผู้ครอบครองชัดเจน และเป็นนาฬิกาที่ไม่ได้ผ่านพิธีศุลกากรอย่างถูกต้อง คือเป็นการลักลอบนำเข้าโดยไม่เสียภาษี ดิฉันจึงทำหน้าที่ทวงถามอีกครั้งให้อธิบดีกรมศุลกากร ปฏิบัติตามกฎหมายศุลกากรที่ต้องริบนาฬิกาเหล่านั้นให้ตกเป็นของแผ่นดิน

สำหรับหนังสือถึงอธิบดีศุลกากร มีเนื้อหาดังนี้

“ตามที่เคยมีข่าวในสื่อมวลชนระบุว่า ทาง ป.ป.ช. แจ้งว่าไม่สามารถหาข้อมูลเจ้าของนาฬิกาที่พล.อ ประวิตร วงษ์สุวรรณ สวมใส่จากบริษัทผู้ผลิตในต่างประเทศได้เลย จึงได้ตรวจสอบวิธีใหม่ โดยการสอบถามไปยังตัวแทนจำหน่ายในประเทศ แต่ก็ได้คำตอบว่า นาฬิกาเหล่านั้นไม่ได้ซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ทาง ป.ป.ช. จึงตรวจสอบต่อไปยังกรมศุลกากร เนื่องจากคาดว่านาฬิกาจะถูกนำเข้ามาผ่านทางศุลกากร แต่ก็ปรากฎว่าไม่พบข้อมูลใดๆ อีก ป.ป.ช เห็นว่า การจงใจไม่แสดงทรัพย์สินไม่ถือเป็นความผิดทางอาญา จึงอาจทั้งเสียเวลาและไม่ได้คำตอบอยู่ดี ดังนั้นจึงเห็นว่าควรยุติการพิจารณาเรื่องนี้ไปเลยดีกว่า และป.ป.ช มีมติต่อมาว่านาฬิกาทั้ง21 เรือนที่พล.อ ประวิตรสวมใส่เป็นนาฬิกาที่ยืมจากนายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว และได้คืนให้ทายาทเจ้าของไปหมดแล้ว

ป.ป.ช มีมติว่าการยืมใช้คงรูปไม่ต้องแจ้งในบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่ง จึงถือว่าคดีดังกล่าวจบสิ้นลงในชั้นของ ป.ป.ช

อย่างไรก็ตาม การที่กรมศุลกากรได้ชี้แจงต่อป.ป.ช ว่าไม่พบข้อมูลใดๆเกี่ยวกับนาฬิกาดังกล่าว จึงแสดงว่านาฬิกาที่พล.อ ประวิตรยืมนายปัฐวาทมาสวมใส่เป็นนาฬิกาที่มีการลักลอบนำเข้ามาโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร จึงเป็นนาฬิกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ศุลกากรต้องริบของนั้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่

ดังบัญญัติไว้ใน พ.ร.บ ศุลกากร พ.ศ 2560 มาตรา 242 ว่า “ผู้ใดนำเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร หรือเคลื่อนย้ายของออกไปจากยานพาหนะ คลังสินค้าทัณฑ์บน โรงพักสินค้า ที่มั่นคง ท่าเรือรับอนุญาต หรือเขตปลอดอากร โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานศุลกากร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ริบของนั้นไม่ว่าจะมีผู้ถูกลงโทษตามคำพิพากษาหรือไม่ผู้ใดพยายามกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน”

จึงขอเรียนมายังอธิบดีกรมศุลกากรให้ดำเนินการริบนาฬิกาที่ไม่ได้เสียภาษีนำเข้าให้ตกเป็นของแผ่นดินโดยเร็วต่อไป และขอให้แถลงความคืบหน้าเรื่องดังกล่าวต่อสาธารณชนภายใน 30วัน”

น.ส.รสนา ทิ้งท้ายว่า ดิฉันหวังว่าอธิบดีกรมศุลกากรจะไม่ปล่อยให้คดีอื้อฉาวเรื่องนาฬิกาที่ลักลอบนำเข้ามาโดยหลบเลี่ยงการเสียภาษีให้เงียบหายไปกับสายลม แต่ต้องดำเนินการริบของที่หลบเลี่ยงการเสียภาษีให้ตกเป็นของแผ่นดินตามกฎหมาย ทั้งนี้เพื่อแสดงให้สาธารณชนเชื่อมั่นว่ากรมศุลกากรบังคับใช้กฎหมายกับประชาชนอย่างถ้วนหน้า และขอให้อธิบดีรายงานความคืบหน้าของการริบนาฬิกาหรูให้สาธารณชนได้รับทราบโดยเร็ว