posttoday

ผู้นำฝ่ายค้านชำแหละพ.ร.ก.กู้เงิน หวั่นแบ่งเค้กใช้หาเสียงทางการเมือง

27 พฤษภาคม 2563

ผู้นำฝ่ายค้านชำแหละพรก.กู้เงินหวั่นแบ่งเค้กใช้หาเสียงทางการเมืองห่วงงบฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาท นำไปทำโครงการแบบเดิมๆแจกจ่ายส.ส. เพื่อประโยชน์ของพวกพ้อง

นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวในการประชุม พิจารณาพ.ร.ก.เงินกู้ 3 ฉบับ และ พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย ประจําปี 2563 ว่าก่อนอื่น กระผมต้องขอชื่นชมและแสดงความยินดีต่อความสำเร็จต่อการป้องกันการระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย ความชื่นชมนี้ ขอมอบให้กับ ความร่วมมือและการเสียสละของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน ที่ช่วยกันปฏิบัติตามการแนะนำด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด นอกจากนั้นผมขอส่งความชื่นชมของผมไปยังบุคลากรสาธารณสุขทุกท่าน ด้วยศักยภาพของหมอ พยาบาล และระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็งของไทย ที่เป็นทัพหน้าการเผชิญศึกโรคภัยในครั้งนี้

แต่ในความสำเร็จนั้น ก็แฝงด้วยความผิดพลาดของการบริหารจัดการภายใต้ภาวะวิกฤติในหลายๆครั้งของรัฐบาล ไม่ว่าเป็น ความไม่มีประสิทธิภาพในการจัดหาหน้ากากอนามัยและการขาดแคลนชุดป้องกันการติดเชื้อ (PPE)สำหรับบุคลากรทางการแพทย์ ความสับสนในมาตรการกักตัวผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ การสั่งปิดกิจการในพื้นที่กรุงเทพมหานครก่อนประกาศมาตรการเยียวยาให้ชัดเจน ความล่าช้าและการเยียวยาที่ไม่ทั่วถึงและรวดเร็ว ความล่าช้าในการยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตาม “พรก.ฉุกเฉิน” และที่สำคัญที่สุด ความล่าช้าในการคลายล็อคให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ

ประเทศไทยอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ในเชิงของ “ความสมดุลด้านระบาดวิทยากับเรื่องผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ” ประเทศที่ประสบความสำเร็จที่แท้จริงไม่ใช่ประเทศที่หยุดการระบาดได้อยู่หมัดบนซากปรักหักพังของเศรษฐกิจประเทศ และไม่ใช่ประเทศที่ปล่อยการระบาดรุนแรงจนยืดเยื้อกระทบต่อชีวิตประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศ แต่เป็นประเทศที่สามารถสร้างความสมดุลให้การระบาดอยู่ในภาวะควบคุมได้และประคองเศรษฐกิจให้ยืนอยู่ได้ในวันที่โลกมีวัคซีน

จากความผิดพลาดของรัฐบาลดังที่ผมได้กล่าวมา ส่งผลให้ประเทศไทยจัดอยู่ในประเทศที่ได้รับความชื่นชมการควบคุมด้านระบาดวิทยา แต่สร้างความล้มเหลวในการเยียวยาและกอบกู้วิกฤติทางเศรษฐกิจ ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่เห็น คือ พี่น้องประชาชนเดือดร้อนในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่กันทุกหย่อมหญ้า โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการต้องปิดการดำเนินธุรกิจจากการประกาศ Lock down ของรัฐบาล วันนี้ตัวเลขของผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 กับตัวเลขของผู้ที่ฆ่าตัวตายเนื่องจากภาวะกดดันทางเศรษกิจ เกือบจะไม่แตกต่างกัน

ด้วยต้นทุนทางเศรษฐกิจจำนวนมหาศาลที่เราต้องเสียไป ทำให้ปัจจุบัน เราอยู่ในภาวะที่จำเป็นที่ต้องใช้เงินและงบประมาณจำนวนมาก เข้ากอบกู้เศรษฐกิจไม่ให้ทรุดหนัก จนเกินเยียวยา จึงนำไปสู่การกู้เงินจำนวนมหาศาล ตาม พ.ร.ก. ทั้ง 3 ฉบับนี้

ผมคิดว่ารัฐบาลต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า เงินกู้จำนวนมหาศาลนี้ คนที่ต้องร่วมกันชดใช้คือประชาชนทั้งประเทศ กล่าวคือ ประชาชน รวมถึงลูกหลานเป็นลูกหนี้ แต่รัฐบาลเป็นคนเอาเงินไปใช้ ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องถูกนำไปใช้ด้วยความรับผิดชอบ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนโดยแท้จริง ไม่ใช่การแบ่งเค้กชิงผลประโยชน์ การใช้เพื่อสร้างฐานคะแนนเสียง การเอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้องผ่านโครงการต่างๆ ภายใต้เงินกู้ก้อนนี้ ทั้งนี้เพราะ พรก. ทั้ง 3 ฉบับ ให้อำนาจฝ่ายบริหารไว้สูงมาก แต่การตรวจสอบการใช้จ่ายเงินมีเพียงการตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ เพียงไม่กี่คน ตรวจสอบเงินจำนวนมหาศาล โดยไม่ต้องรายงานการใช้จ่ายต่อฝ่ายนิติบัญญัติ

จึงเป็นความจำเป็นที่ตัวแทนของประชาชนมีหน้าที่ที่จะต้องร่วมกันตรวจสอบให้การใช้เงินก้อนนี้เป็นไปอย่างสุจริตและมีประสิทธิภาพสูงสุด ป้องกันไม่ให้เป็นการ “ตีเช็คเปล่า” ให้รัฐบาลใช้เงินโดยตามอำเภอใจ ไร้การตรวจสอบ จนอาจส่งผลเสียต่อประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

ในส่วนของ พ.ร.ก.ฉบับแรก ซึ่งได้แก่ พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563 หรือเราอาจเรียกสั้นๆว่า (พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท)นั้น สามารถแยกพิจารณาเป็น 3 กลุ่มใหญ่

ส่วนที่ 1 : แก้ไขการระบาดโควิด-19 (45,000 ล้านบาท) นั้น ผมเห็นถึงความสำคัญของการจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอด้านสาธารณสุข แต่รัฐบาลต้องสามารถชี้แจงต่อสังคมให้ได้ว่า งบการก้อนที่มีรายละเอียดการใช้จ่ายอย่างไร ใครได้ประโยชน์บ้าง เพราะท่าที่รัฐบาลชี้แจง การรักษาผู้ป่วยคนละ 1 ล้านบาท ซึ่งคิดแล้วเป็นเงินไม่เกิน 4,000 ล้านบาทเท่านั้น แล้วที่เหลือไปไหน เรื่องการจัดสรรอุปกรณ์ทางการแพทย์ก็มีข้อกังขามากมาย นอกจากนั้นผมเห็นว่า เครือข่าย อสม. ซึ่งถือเป็นแกนหลักในการหยุดการระบาด ควรได้รับการยกย่อง และได้รับการจัดสรรที่เหมาะสม

ส่วนที่ 2 : การช่วยเหลือ เยียวยา ประชาชน เกษตรกร ผู้ประกอบการ (555,000 ล้านบาท) : การเยียวยาเป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่การเยี่ยวยาในแบบของรัฐบาลมีปัญหาในเชิงปฏิบัติ ยิ่งคัดกรองมาก ยิ่งหลุดมาก ไม่ครอบคลุม ไม่ทั่วถึง คนเดือดร้อนจริงกลับไม่ได้ ส่งผลให้เกิดปัญหาสังคมและโศกนาฏกรรม หลักคิดในเรื่องนี้ ผมมองว่าเนื่องจากประชาชนเป็นคนจ่ายภาษี ควรใช้ระบบถ้วนหน้าในการเยียวยา

ส่วนที่ 3 : งบฟื้นฟูเศรษฐกิจ (400,000 ล้านบาท) : ก้อนนี้ เป็นก้อนที่พวกเราฝ่ายค้านเป็นห่วงที่สุด เพราะจะเป็นส่วนที่จะมีปัญหามากที่สุด มีข้อสังเกตว่าแบ่งตามกระทรวงต่างๆ ไว้หมดแล้ว ทั้งๆที่ยังไม่ได้เข้าสภา และตามที่รัฐบาลกล่าวถึงทิศทางการใช้เงินก้อนนี้ ไม่ตอบโจทย์ และไม่ได้คิดถึงภาพใหญ่ และโอกาสของประเทศ เพราะจะสนับสนุนการจ้างงานภาคการเกษตร ใช้ฝึกอบรม รวมถึงใช้เป็นงบชุมชน เปิดช่องการใช้เป็นเงินเพื่อประโยชน์ทางการเมือง แจกจ่ายให้กับ ส.ส. เสมือนเป็นการตีเช็คเปล่า หรือนำไปทำโครงการแบบเดิมๆ เพื่อประโยชน์ของพวกพ้อง และการตอบแทนทางการเมือง โดยที่ถูกต้องโครงการต้องเป็นไปเพื่อตอบสนองและตอบโจทย์เรื่องโควิด ไม่ใช่ใช้จ่ายไปทั่ว

ผมก็ย้ำอีกครั้งว่า ฝ่ายค้านไม่ขัดข้องกับการกู้เงิน เพราะเล็งเห็นถึงความจำเป็น แต่ขอทักท้วงในด้านการนำไปใช้จ่าย เพื่อให้เกิดประโยชน์ ถูกต้อง ครอบคลุม โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ และยังต้องคำนึงถึงศักยภาพของรัฐบาลที่เป็นผู้ใช้งบด้วย

ในส่วนของ พ.ร.ก. การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 นั้น

ผมเห็นถึงความจำเป็นของการช่วยเหลือให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งหาได้ยากขึ้นในภาวะวิกฤติ ในแง่หลักการผมเห็นด้วย แต่เมื่อลงไปสู่การปฏิบัติ ตาม พ.ร.ก. ฉบับนี้ ผมมองว่าดุลยพินิจของการปล่อยกู้ อยู่ที่ธนาคารพาณิชย์ ที่มีแนวโน้มปล่อยให้ลูกค้าเดิมที่แข็งแรงอยู่แล้ว เพราะไม่ต้องการความเสี่ยงเพิ่ม และไม่ต้องมีขั้นตอนวุ่นวาย ไม่ต้องประเมินหลักทรัพย์ จึงส่งผลให้ลูกค้าที่แข็งแรง (ซึ่งมีแนวโน้มเป็นขนาดกลางขึ้นไป) ได้ประโยชน์จากสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ แต่ SMEs ที่ประสบปัญหา ได้รับผลกระทบจากโควิด ก็ยังคงเข้าไม่ถึงสินเชื่อเหมือนเดิม นอกจากนั้นยังเปิดช่องทางที่เอกชนรายที่ผ่านการพิจารณาสินเชื่อ เอาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำไปปล่อยต่อให้เอกชนที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อในราคาสูง มีลักษณะเหมือนสินเชื่อนอกระบบ รายใหญ่ได้ประโยชน์ รายเล็กโดนเอาเปรียบ

ท้ายสุด ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในวันนี้คือมี SME จำนวนน้อยนิดที่ได้รับอนุมัติเงินกู้จาก พ.ร.ก. ฉบับนี้ แต่ยังมี SME อีกจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึงเงินกู้นี้ได้ คนที่ควรได้รับการช่วยเหลือ กลับไม่ได้ ผมจึงขอเน้นความห่วงใยของผมไปที่เรื่องของความทั่วถึง และให้เงินกู้ลงถึงมือคนที่เดือดร้อนจริง

ในส่วนของ พ.ร.ก. การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. 2563 นั้น

ในส่วนนี้ ผมเล็งเห็นถึงความจำเป็นของการรักษาเสถียรภาพของตลาดตราสารหนี้ ซึ่งเป็นอีกแหล่งทุนสำคัญในการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน แต่ผมมีข้อห่วงใยว่าการดำเนินการตาม พ.ร.ก. ฉบับนี้ จะส่งผลเสียหลายประการ เช่น

โดยหลักแล้ว ธนาคารชาติมีหน้าที่เป็นธนาคารของรัฐบาล และเป็นนายธนาคารของธนาคารพาณิชย์ ไม่มีหน้าที่ลงไปจัดสรรสินเชื่อเอง เพราะอาจสร้างความเสียหายเกี่ยวกับความเชื่อมั่น และเสียหายในเชิงหลักการของธนาคารแห่งประทเศไทยได้ เพราะเหล่านี้ หลีกเลี่ยงไม่พ้นการเลือกปฏิบัติ ซึ่งอาจถูกกล่าวหาใช้เงินรัฐอุ้มคนรวย อาจเกิดปัญหาคอรัปชั่น และเกิดความเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นในระบบการเงินของประเทศ

ในเรื่องนี้ จะดีกว่าไหมถ้าให้ธนาคารพาณิชย์พิจารณารับซื้อตราสารหนี้เอกชนตามความเสี่ยง จากนั้นธนาคารพาณิชย์สามารถนำตราสารหนี้เหล่านี้ มาค้ำประกันเพื่อกู้เงินเสริมสภาพคล่องจากธนาคารชาติ ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ให้กู้รายสุดท้าย หากบริษัทใดผิดนัดชำระหนี้ ธนาคารพาณิชย์จะเป็นผู้รับความเสี่ยง ธนาคารชาติเป็นผู้ดูแลสภาพคล่องของระบบตลาดการเงิน ตามหน้าที่ที่ควรจะเป็น ซึ่งเป็นระบบปกติ ซึ่งจะดีกว่าธนาคารชาติเข้าไปทำการจัดสรรสินเชื่อเอง แม้มีคณะกรรมการ ก็หลีกเลี่ยงไม่พ้นการเลือกปฏิบัติ

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคฝ่ายค้านจะร่วมกันอภิปรายถึงรายละเอียดในเชิงลึกของ พ.ร.ก. ทั้ง 3 ฉบับ ต่อไป ซึ่งผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สภาผู้แทนราษฎรจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อทำให้ประโยชน์ของ พ.ร.ก. ทั้ง 3 ฉบับนี้ ลงสู่การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างทั่วถึง เป็นผลต่อการกอบกู้เศรษฐกิจของประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการบริหารจัดการที่โปร่งใส มิใช่เป็นแหล่งทุนที่เอื้อประโยชน์ให้กับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โปรดระลึกไว้ว่าเงินทุกบาททุกสตางค์นั้นคือเงินอนาคตของลูกหลาน อย่าเห็นประโยชน์เพียงแค่ next election แต่จงเห็นประโยชน์ของ next generation ขอบคุณครับ