posttoday

ชูวิทย์ เย้ยฝ่ายค้านซักฟอก "บ่มิไก๊" ต้องพึ่งเด็กตามรั้วมหาลัย-มัธยม ไล่รัฐบาลแทน

29 กุมภาพันธ์ 2563

"ชูวิทย์"โพสต์ "ไม่ไว้วางใจ” อภิปราย “ไม่ไว้วางใจ" เย้ย ฝ่ายค้าน ซักฟอก "บ่อมิไก๊" มิน่า ถึงต้องพึ่งเด็กตามรั้วมหาลัย-มัธยม ไล่รัฐบาลแทน

เมื่อวันที่ 29 กพ. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า “ไม่ไว้วางใจ” อภิปราย “ไม่ไว้วางใจ”

ผมเคยตั้งข้อสงสัยก่อนการอภิปราย “ไม่ไว้วางใจ” ที่ช่วงแรกๆ มีสารวัตรเฉลิมออกมาแสดงท่าทีขึงขังว่ามีข้อมูล และติวเข้ม ส.ส. ในการอภิปราย

ถึงขนาดใช้ชื่อปฎิบัติการเหมือนตำรวจจับโจรว่า “ยุทธการอรุณรุ่ง” เสมือนหนึ่งให้ความหวังกับคนไทย ว่าจะจัดการกับรัฐบาลที่ทำงานห่วยบรรลัย

แต่ผลการอภิปรายกลับตรงกันข้าม ออกมาเหมือน “ตลกฝืด” ไม่มีคนหัวร่อ จนกระแสเด็กประท้วงตามโรงเรียนมัธยมยังดังเสียกว่า

ด้วยเพราะข้อหาที่ว่า “ไม่ไว้วางใจฝ่ายค้านในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ” ครั้งนี้ หากปล่อยให้บริหารงานฝ่ายค้านต่อไป จะก่อให้เกิดความเสียหายได้ โดยสรุปเป็นข้อๆ ได้ดังนี้

1. แรกเริ่มไม่มีชื่อ “บิ๊กป้อม” ทั้งๆที่เป็นพี่ใหญ่ ศูนย์กลางบัญชาการจักรวาล อย่าง “เป็นทางการ” และ “ไม่เป็นทางการ” ถนนทุกสายมุ่งไปเฝ้ารอหน้าบ้านยันหลังบ้าน ตั้งแต่รุ่งสางยันเข้านอน ขนาดระดับพลตำรวจโทยืนล้างจานให้ในครัว

แล้วยังเรื่องยืนดุนหลัง บิ๊ก จ. ให้ไล่ บิ๊ก ป. เป็นที่ฮือฮา แสดงถึงตำราเก่า “ยุให้รำตำให้รั่ว” เอาสายตรงอั๊วขึ้น

บริหารงานแบบนี้ ในฐานะฝ่ายค้านเก่าที่เป็นผู้เปิดประเด็น “โรงพักเน่า 396 แห่ง” ที่เกือบ 10 ปี ปปช. เพิ่งจะฟันดาบลงหัวสุเทพไปหมาดๆ เมื่อปีที่แล้วนี่เอง

ประเด็นของบิ๊กป้อมต้องบอกว่า หากใช้คนอภิปรายถูกคน ไม่ใช่มือใหม่หัดขับ อยากดัง หรือมือเก๋านักต่อรองรู้มากเกิน รับประกันว่าต้องโดนสับเละเป็นโจ๊กบะช่อกลางสภา ยิ่งตอบ งกๆ เงิ่นๆ ยิ่งโดนเฉือน

แต่เปล่า ชื่อบิ๊กป้อมเกือบหลุดโผรายชื่อผู้ถูกอภิปรายเสียด้วยซ้ำ เพราะหัวหน้าทีมร้อง “ไม่เอา ไม่เอา”

หลังๆ จวนตัว ทานกระแสไม่ไหว หยวนๆ ใส่ชื่อไปอย่างเสียไม่ได้

แต่ยังอุตส่าห์แขวนเอาไว้เป็นรายสุดท้าย กันเหนียว เผื่อเหลือเผื่อขาด

แหม.. เรื่อง “ลับ ลวง พลาง” เขาเก่งเสียจริงๆ !

2. การแบ่งเวลาอภิปราย ถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ต้องมีการวางแผน หัวข้อ คนอภิปราย เชื่อมโยงถึง “การทำงานเป็นกระบวนการ”

ไม่ใช่อยาก “โชว์ออฟ” จ้องฉายเดี่ยวชนกับ “นายกฯลุงตู่” คนเดียวไป 3 วัน 2 คืน แล้วยังพูดย้ำวกวนเหมือนเขาวงกตอยู่เรื่องเดียว เพราะความอยากดัง ยาว 3 ชั่วโมง ไปจนหมดเวลา ไม่รู้จะขุดเรื่องอะไรมาอีก

คนไม่รู้ทันการเมืองมีหวังเคลิ้มตามสะใจ ที่ไหนได้ หมดเวลาตามที่ตกลงกันไปแล้ว ที่ว่า 4 วัน เหลือเพียงแค่วันเดียว

แล้วยังมีหน้าไปอภิปรายของตายอย่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ พูดในเรื่องที่รู้กันแล้วทั้งโลก เหลือแต่ “รัฐบาล” ที่ยืนกรานไม่รู้ไม่ชี้อยู่คนเดียว ไม่มีอะไรใหม่มาเสริมกระทุ้ง

แม้แต่เด็กปี 1 ยังรู้เรื่องมากกว่า หมดเข้าไปอีก 1 วันสุดท้าย

อุตส่าห์ให้เวลาแถม ยังไปได้คิว อาจารย์วิษณุ เครืองาม มือวางอันดับ 1 “บิดาแห่งความพริ้วทางกฎหมาย” ที่หาตัวจับยาก แต่ดันส่งเด็กเพิ่งจบกฎหมายไปให้แกต้อน

เสมือนเอาลูกศิษย์ปี 1 ไปยืนเถียงกับอาจารย์กฎหมาย เลยโดนสอนกฎหมาย หาว่าอ่านกฎหมายไม่รู้ ดูกฎหมายไม่เป็น

เหลือติดปลายนวม นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ขี้ปะติ๋ว ระฆังหมดเวลาดังพอดี อย่างกับเรื่องโกหก

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ไม่มีโอกาสแม้แต่จะแตะ ทั้งสองท่านคงได้แต่หัวร่อต่อกระซิก ว่า “เออ มันเชื่อฟังดีว่ะ ไม่ผิดคำพูด”

คำไหนคำนั้นแบบนี้ คงต้องตบรางวัลตามสัญญา ตอนนี้พวกมันคงเริ่ม “อยู่เป็น” แล้วว่ะ

นี่หากเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ฝ่ายค้านเก่ามืออาชีพ รับประกันคุณภาพ ไม่มีเสียเชิงแบบนี้ เพราะวางแผนแบ่งงานกันอภิปรายเป็นขั้นเป็นตอน ไม่มีเอ่ยปากว่าจะอภิปรายเรื่องใด แล้วพอถึงเวลา “ร่วมด้วยช่วยกันถล่ม”

แถมยังเหลือเวลาให้หัวหน้าฝ่ายค้านสรุปโยงเรื่องผิดพลาดของฝ่ายรัฐบาล ให้เห็นจนแทบถอดซี่โครงเดินแก้ผ้า ถึงขนาด "ปั้นน้ำเป็นโรงน้ำแข็ง" ก็ยังเคยทำมาแล้ว

เรื่องแบบนี้ต้องยอมรับว่าพรรคประชาธิปัตย์เขาเก่งจริง เสียดายว่าพอไปร่วมหัวจมหัวท้ายกับรัฐบาล เลยต้องปล่อยให้ ส.ส. บางคน ทำตัวเป็น “นกกรงหัวจุก” มาโก่งคอดักเชิงทำเป็นพูดว่า ต้องรอฟังการอภิปรายก่อน หากไม่ดีไม่โหวตให้รัฐบาลนะ

แหม ! มันน่าหยิกแก้มเสียจริงๆ

คงเห็นคนไทยลืมง่ายเสียปานนั้น “กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง” แท้ๆ

ลีลาของ ส.ส. แต่ละคน ตั้งแต่หัวหงอกยันหัวดำ ไม่มีงอแงสักคน เล่นสมราคา ส่วนพวกเรื่องมาก คุยไม่รู้เรื่อง โดนไล่กลับบ้านกันไปหมดแล้ว

3. ฝ่ายค้านขอต่อเวลาเพิ่มเพื่อจะอภิปราย ทั้งรองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ที่ยังเหลือคงค้างสต๊อคอีก 2 ท่าน ที่สำคัญมั๊กมากก

แต่เหมือนโต๊ะจีนหมดเวลากิน เหลือเมนูสำคัญ คือ “หูฉลาม” ที่ฝ่ายค้านยังไม่ได้แม้แต่จะลิ้มชิมรส

พอถึงเวลาลงคะแนน แสดงท่าทำทีเอะอะโวยวาย วอล์คเอ้าท์ไม่ยอมโหวต

เดาไม่ผิด เหมือนเซียนการเมืองตามร้านกาแฟ ลีลาบทบาทแบบนี้ก็ต้องทำไปอย่างนั้น มันเป็น “ท่าบังคับ” ว่าจะขอเวลาเพิ่มเพื่ออภิปรายต่อ

ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจแล้วว่า “มันจบไปแล้วครับนาย”

ท้ายสุด มานั่งเก้าอี้ตามเสียงกระดิ่ง กดคะแนนกันเจี๋ยมเจี้ยม เที่ยวนี้ไม่มีใครกล้าฝากบัตรใครกด เพราะโดนผู้สื่อข่าวเขาจ้องอยู่

4. พวกเด็กใหม่ของอดีตพรรคอนาคตใหม่ ที่ตอนนี้ยังเร่ร่อนเป็น ส.ส. ไม่มีพรรค ริอาจจะอภิปรายแจ้งเกิดการเมืองเลยอด ร้องกันกระจองอแง ส่วนหัวหน้า เลขาฯ กรรมการบริหาร ก็โดนกากบาทเข้าสภาไม่ได้

ทำได้แค่บ่นว่า “ซี้ซั้ว มั่วอมเวลา” แต่เขาเอาหูทวนลม เพราะพูดได้แค่ในโซเชียล ไม่ได้เหยียบเข้าไปเปิดไมค์ในสภาเสียแล้ว

พวกย้ายพรรค หรือเตรียมย้ายเร็วๆ นี้ ปิดปากเงียบสงบ โหวตให้รัฐบาลตามคาด ไม่แตกแถว เปิดใจถึงกัน แล้วขยิบปลายตาว่า “อย่าลืมที่ตกลงกันไว้นะ”

5. ท้ายสุด ปิดศึกซักฟอกแบบที่ชาวบ้านร้านช่องห้องแถวร้องกันว่า “ไอ้หยา ! อย่างนี้มันต้มกูจนสุก”

แถมตอนจบ ยังไม่มีใครสรุปอภิปราย ตัวใครตัวมันของแท้

นี่ถ้าประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านอย่างสมัยก่อน “อภิสิทธิ์” คงได้ขึ้นพูดมาดเท่ห์ตามสไตล์ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน สรุปประเด็นเชื่อมโยงความผิดพลาดของการบริหาร ที่ปล่อยให้หัวหน้ารัฐบาลลุงตู่อยู่ต่อไปไม่ได้ เพราะขนาดเด็กในโรงเรียนยังไล่ แล้วยังจะนั่งหัวหงอกกันไหวหรือ?

จบสวยๆ แม้คะแนนโหวตไม่ชนะ แต่ชนะใจคนดู

ไม่ใช่จบแบบ “ซูเอี๋ย” เกี๊ยะเซียะกันแบบ "มวยล้มต้มคนดู" เป็นฝ่ายค้านเทียม เตี๊ยมกันมาแต่ต้น

แล้วยังไม่ได้พูดถึงพวกอารมณ์ค้าง อดอภิปรายในสภา 10 ปี ต้องออกไปเจื้อยแจ้วนอกสภา กับข้อมูลที่ได้จากอดีตตำรวจใหญ่ รุ่น “มาไว ไปไว”

ท้ายสุด คนจีนบอก “บ่อมิไก๊” แปลเป็นไทยว่า “ไม่มีอะไรในกอไผ่”

มิน่าเล่า ถึงต้องไปพึ่งเด็กตามรั้วมหาลัย โรงเรียนมัธยม ให้ไล่รัฐบาลแทน

เพราะเด็กทำด้วยใจ ไม่มีของต่อรองเหมือนผู้ใหญ่ในสภา ที่แสดงละครบอกไม่ซื้อ แต่ร้องเอาของแถมฟรี

มันหมดหวังเอาเสียจริงๆ นักการเมืองในสภายุคนี้