posttoday

"ช่อ"เปิดอภิปรายนอกสภาอัดรัฐบาลประยุทธ์ร่วมปกปิดคนผิดคดี "1MDB"

23 กุมภาพันธ์ 2563

"พรรณิการ์" เปิดอภิปรายนอกสภาอัด รบ.ประยุทธ์เอี่ยวคดีอาชญากรรมการเงินระดับโลก - เอาคนบริสุทธิ์เข้าคุก - ให้ที่พักพิงอาชญากร - ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

เมื่อวันที่ 23 ก.พ.63ที่ศูนย์ประสานงานอนาคตใหม่ฝั่งธนบุรี นางสาวพรรณิการ์ วานิช อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรพรรคอนาคตใหม่และโฆษกพรรคอนาคตใหม่ เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนอกสภาฯ หลังจากที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบพรรค และกรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี และไม่สามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในรัฐสภาได้

น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจนอกสภาวันนี้เกี่ยวข้องระหว่างรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา กับคดี 1 Malaysia Development Berhad (1MDB) ซึ่งเป็นกองทุนช่วยเหลือและพัฒนาประชาชนมาเลเซีย ซึ่งข้อเท็จจริงหลายกรณีที่ทำให้เชื่อได้อย่างเต็มใจว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่สมควรได้รับความไว้วางใจให้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีอีกต่อไป โดยสิ่งที่ตนจะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่หลายคนไม่เคยรู้ และไม่อาจคาดคิดมาก่อนเลยว่า รัฐบาลไทยภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ อาจสมรู้ร่วมคิดปกปิดผู้กระทำผิดในคดีอาชญากรรมการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก

คดีอื้อฉาวทางการเงินระดับโลก

น.ส.พรรณิการ์ กล่าวต่อว่า คดี 1MDB เป็นเรื่องอื้อฉาวทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐเปิดเผยว่ามีเงินจำนวนถึง 1.4 แสนล้านบาท หรืออย่างน้อย 4.5 พันล้านดอลลาร์ที่มีไว้สำหรับช่วยเหลือประชาชนมาเลเซีย หายเข้าสู่ระบบการเงินโลกอย่างมีเงื่อนงำ ซึ่งภายหลังมาเลเซียเปิดเผยว่าเงินจำนวนถึง 2 หมื่นล้านบาทถูกนำเข้าบัญชีเจ้าหน้าที่รัฐมาเลเซียหมายเลข 1 โดยตรง นั่นคือนาจิบ ราซัค อดีตนายกฯมาเลเซีย

ความจริงที่น่าเศร้าก็คือ เราไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับคดีนี้เลย ถ้าไม่เกิดรัฐประหารโดยพลเอกประยุทธ์ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ในเวลานั้น รัฐบาลทหารขาดความชอบธรรมอย่างหนักทั้งในและนอกประเทศ การบังคับควบคุมในประเทศยังพอทำได้ด้วยมาตรา 44 และการควบคุมสื่ออย่างเบ็ดเสร็จ ในเวลานั้นเอง นาจิบ ราซัค ก็กำลังตกที่นั่งลำบาก ความผิดปกติในกองทุน 1MDB และนาจิบเองก็กำลังต้องการเพื่อนผู้ช่วยเหลือในยามยาก และนั่นอาจทำให้เขาตัดสินใจเป็นผู้นำคนแรกที่ให้การรับรองรัฐบาลทหารของไทย การรับรองรัฐบาลทหารในครั้งนั้น เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ตนขอเรียกว่า “พันธมิตรมืด” ระหว่างพลเอกประยุทธ์ และนาจิบ

เอาคนบริสุทธิ์เข้าคุกเพื่อปิดปาก

น.ส.พรรณิการ์ กล่าวต่อว่า ผ่านไปไม่กี่เดือน พันธมิตรที่นาจิบสร้างไว้ก็ได้เวลาใช้ประโยชน์ ชาเบียร์ ฆุสโต ชายชาวสวิสเชื้อสายสเปน หนึ่งในผู้บริหารของปิโตรซาอุดี บริษัทที่เป็นเครือข่ายฟอกเงินของแก๊ง 1MDB ลาออกจากบริษัทพร้อมนำข้อมูลอีเมล 230,000 ฉบับ รวม 90 กิกกะไบต์ เปิดต่อสาธารณะ ผ่านแคลร์ บราวน์ แห่งซาราวัค รีพอร์ท ในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 และในเดือนมิถุนายน WSJ ก็ตีพิมพ์เรื่องนี้จนกลายเป็นข่าวที่โด่งดังไปทั่วโลก

"ดิฉันได้พูดคุยกับแคลร์ บราวน์ และชาเบียร์ ฆุสโต ด้วยตนเอง พวกเขายืนยันว่าถูกคุกคามอย่างหนักจากนาจิบ แม้แคลร์จะมีศักดิ์เป็นถึงน้องสะใภ้ของกอร์ดอน บราวน์ อดีตนายกฯอังกฤษ เธอก็ยังถูกสะกดรอยตาม ถูกพยายามแฮ็กอีเมล ถูกดิสเครดิตว่าเป็นคนสติไม่สมประกอบ และทั้งแคลร์และชาเบียร์ ถูกป้ายสีว่าเป็นพวกที่สมรู้ร่วมคิดกับฝ่ายค้าน แคลร์บอกว่าเธอตัดสินใจเดินทางกลับอังกฤษ เพราะรู้ตัวว่าไม่ปลอดภัยที่จะอยู่ในมาเลเซีย หรือประเทศใดในอาเซียน ส่วนชาเบียร์ยังอยู่ในประเทศไทย เขาคิดจะลงหลักปักฐานที่เกาะสมุยพร้อมลอรา ภรรยา และซานเดอร์ ลูกที่เพิ่งคลอด

บ่ายวันที่ 22 มิถุนายน 2558 ตำรวจนับสิบบุกจับชาเบียร์ที่บ้านบนเกาะสมุย เขามาทราบภายหลังว่าตนเองถูกตั้งข้อหาพยายามกรรโชกทรัพย์ จากตำรวจไทย การจับกุมครั้งนี้ ตำรวจแถลงข่าวใหญ่โตมาก แต่แล้วกลับเงียบหาย มีการกำชับว่าบุคคลที่มีสิทธิ์ให้ข่าวเรื่องนี้ มีเพียงพล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร. และพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. ในขณะนั้น นอกจากนี้ทางการประเทศไทยก็มีความพยายามกีดกันไม่ส่งชาเบียร์กลับสวิสฯ และไม่เปิดโอกาสให้ใครเข้าเยี่ยมได้ง่ายๆ ระหว่างที่ชาเบียร์ติดคุกอยู่ที่ประเทศไทย"น.ส.พรรณิการ์ กล่าว

น.ส.พรรณิการ์ กล่าวต่อว่า ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นก็คือ ทั้งหมดกลายเป็นปาหี่ระดับชาติ เป็นเรื่องต้มตุ๋นครั้งใหญ่ที่กระบวนการยุติธรรมไทยรวมหัวกับเครือข่าย 1MDB ยัดคนบริสุทธิ์เข้าคุก ตำรวจไทยบอกว่าอังกฤษส่งตำรวจมาร่วมสอบสวน ซึ่งในความเป็นจริง พอล ฟินนิแกน บุคคลที่อ้างว่าเป็นตำรวจสกอตแลนด์ยาร์ด กลับเป็นตำรวจปลอม เขาเป็นอดีตตำรวจที่ปิโตรซาอุดีจ้างมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินคดีชาเบียร์ที่ไทย โดยหลักฐานสำคัญคืออีเมลจากแอทกินส์ ทอมป์สัน สำนักทนายความที่ปิโตรซาอุดีว่าจ้าง อีเมลนี้ส่งไปถึงสำนักข่าวเดอะ การ์เดียน ของอังกฤษ เพื่อชี้แจงแก้ต่างให้ปิโตรซาอุดี หลังจากการ์เดียนตีพิมพ์ข่าวคดีทุจริต 1MDB ในอีเมลนั้น ระบุชัดว่าปิโตรซาอุดี ว่าจ้างที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ผู้เป็น “อดีตตำรวจ” เพื่อดูแลประสานงานกับทางการไทยในการดำเนินคดีชาเบียร์

สิ่งที่ผิดปกติมากไปอีกขั้น คือมีหลักฐานว่าพอล ฟินิแกน ได้เข้าเยี่ยมชาเบียร์และบีบให้เขารับสารภาพ แต่สิ่งที่น่าสงสัยที่สุดคือชื่อของพอล ไม่มีชื่อในรายชื่อผู้เข้าเยี่ยม เป็นคนอยู่เหนือกฎระเบียบของเรือนจำหรือถึงไม่ต้องถูกบันทึกชื่อไว้ ที่น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก คือบันทึกบนสนทนาวอทซแอพ ระหว่างแพทริก มาฮอนี่ ตัวแทนของแอทกินส์ ทอมป์สัน กับลอร่า ฆุสโต ภรรยาของชาเบียร์ เป็นหลักฐานที่ได้รับการรับรองจากศาลสวิตเซอแลนด์แล้วว่าเป็นหลักฐานจริง บทสนทนานี้แพทริกระบุว่าตนสามารถควบคุมการเข้าเยี่ยมชาเบียร์ได้ ยกเว้นทนายความ ทำไมคนของปิโตรซาอุดีถึงกล้าพูดว่าสามารถควบคุมคนเข้าเยี่ยมในเรือนจำไทยได้ และดูเหมือนจะควบคุมได้จริง จากการที่พอล สามารถเข้าเยี่ยมชาเบียร์ได้ตลอดเวลาโดยไม่มีการบันทึกรายชื่อ

"ช่อ"เปิดอภิปรายนอกสภาอัดรัฐบาลประยุทธ์ร่วมปกปิดคนผิดคดี "1MDB"

ถ้าจะมีอะไรที่ชัดเจนไปยิ่งกว่านี้ นั่นคือบทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง ลอร่า ฆุสโต และ พ.ต.อ.พงษ์ไสว เจ้าของคดีผู้ที่จับกุมและดำเนินคดีชาเบียร์ ลอร่าพยายามถาม พ.ต.อ.พงษ์ไสว ซึ่งยืนยันว่าพอล ฟิลิแกนรู้จักกันดีและเข้าไปเยี่ยมชาเบียร์บ่อยๆ จะเห็นได้ว่าสุดท้ายแล้วเรือนจำไทยกลายเป็นที่คุมขังปิดปากพยานปากเอกของคดี 1MDB และตำรวจและเจ้าหน้าที่เรือนจำประเทศไทยให้ความร่วมมือกับเรื่องนี้หรือไม่

นอกจากนี้ ลอร่ายังบอกกับตนเองว่าเอฟบีไอได้เคยมาติดต่อเธอและเล่าให้ฟังว่าพยายามเข้าไปขอสอบสวนชาเบียร์ในเรื่อนจำกลางคลองเปรมสามครั้ง ได้รับการปฏิเสธทั้งสามครั้ง สิ่งที่เอฟบีไอทำได้ คือการไปติดต่อลอร่าและให้ลอร่าเขียนจดหมายถึงสามี เพื่อลักลอบนำข้อมูล 1MDB ออกจากมาจากเรือนจำไทย ซึ่งต้องใช้เวลา 6 เดือนเพื่อให้เอฟบีไอมีข้อมูลเพียงพอในการสอบสวนคดี

สุดท้ายชาเบียร์รับสารภาพในข้อมูลอันเป็นเท็จจากการบีบบังคับของพอล ต้องโทษจำคุกสามปี ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์พยายามขอส่งตัวนายชาเบียร์กลับมาประเทศไทยตามสนธิสัญญาโอนตัวนักโทษที่มีระหว่างกัน กระบวนการเอกสารใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว แต่ในเดือนกันยายนปี 2559 ที่นายชาเบียร์ควรจะได้รับการส่งตัว นายนาจิบมาเยือนประเทศไทย ที่น่าแปลกคือพร้อมๆกันนั้นข้อตกลงการส่งตัวนายชาเบียร์ก็ล่มไป

ขัดขวางกระบวนการยุติธรรมในประเทศ คุ้มครองอาชญากรข้ามชาติ

น.ส.พรรณิการ์ กล่าวว่านอกจากนี้ ยังมีกรณีของบุคคลที่ช่วยนาจิบบริหารเครือข่ายฟอกเงินระดับโลก นั่นก็คือ โลเตี๊ยกโจ หรือโจ โล นักธุรกิจเชื้อสายจีนจากปีนัง คนสนิทของนาจิบ ซึ่งสิงคโปร์ต้องการตัวมาสอบสวนในคดี และได้ขอให้ตำรวจสากลออกหมายแดงนำตัวมาเข้าสู่กระบวนการในประเทศ ซึ่งประเทศต่างๆในภาคีเครือข่ายของตำรวจสากลจะต้องมีข้อมูล โดยเฉพาะการเดินทางเข้าออกผ่าน ตม.จะมีการแสดงผลขึ้นทันทีว่ามีหมายแดง

แต่ปรากฏว่ามีหลักฐานประวัติการเดินทางผ่านแดนไทยของโจ โล ที่เข้าออกเมืองไทยถึง 5 ครั้ง นับตั้งแต่วันที่มีหมาย ถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2561 โดยที่ไม่ปรากฏว่าทางการไทยแจ้งไปยังสิงคโปร์ ประเทศผู้ขอหมายแดงเลย คำถามคือพลเอกประยุทธ์ เลือกที่จะซื่อสัตย์ต่อพันธมิตรมืด มากกว่ารักษากฎกติการะหว่างประเทศที่ไทยได้เข้าเป็นภาคี เลือกที่จะรักษาความสัมพันธ์กับนาจิบ มากกว่านายกรัฐมนตรีลีเซียนลุงของสิงคโปร์หรือไม่

พรรณิการ์ กล่าวในช่วงท้ายว่า จากพยานหลักฐาน ข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด ทำให้เชื่อได้ว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ซึ่งมีอำนาจสั่งการข้ามกระทรวงทุกกระทรวงและหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมราชทัณฑ์ กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย ให้ร่วมมือกันปกปิดข้อเท็จจริงของคดีปล้นเงินคนมาเลเซียครั้งใหญ่ ขัดขวางกระบวนการยุติธรรมของต่างประเทศที่จะเอาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี บิดผันกระบวนการยุติธรรมในประเทศ เอาคนบริสุทธิ์เข้าคุกเพื่อปิดปาก แต่กลับปล่อยให้คนที่มีหมายแดงจากอินเตอร์โพล ลอยนวลใช้ไทยเป็นที่กบดานนานหลายปี บ่อนทำลายความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ด้วยการขัดขวางการสอบสวนของ FBI บ่อนทำลายความสัมพันธ์ไทย-สวิตเซอร์แลนด์ ด้วยการไม่ยอมส่งตัวชาเบียร์ ฆุสโต กลับมาตุภูมิ บ่อนทำลายความสัมพันธ์ไทย-สิงคโปร์ ด้วยการเพิกเฉยต่อหมายแดงอินเตอร์โพลที่ขอโดยสิงคโปร์

"แต่ที่รอไม่ได้ ณ ขณะนี้ ก็คือการให้พลเอกประยุทธ์ดำเนินนโยบายขายชื่อเสียงประเทศชาติแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัว ดิฉันขอให้ทุกคนตัดสินใจ ว่าเราจะเอาคนที่เชื่อได้ว่าอาจเกี่ยวข้องกับการนำเอาคนบริสุทธิ์เข้าคุก ให้ที่พักพิงอาชญากรระดับโลก ขัดขวางการนำเงินภาษีของพี่น้องมาเลเซียที่ถูกปล้นไปกลับคืนเจ้าของ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปได้อย่างไร

คดี 1MDB ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในมาเลเซียมาแล้ว เรื่องอื้อฉาวที่ใหญ่โตด้วยจำนวนเงินและความพยายามปกปิดความผิด ได้ทำให้ระบอบอัมโนของนาจิบล้มลง ก่อเกิดเป็นพันธมิตรแห่งความหวัง ในยุคที่มืดที่สุดของมาเลเซีย ทำให้ประชาชนรวมตัวกันจุดแสงสว่างแห่งความจริงและความหวังขึ้นมา หวังว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นเช่นกันในประเทศไทย ในยุคที่มืดมิดที่สุดและทำให้เราเชื่อว่าอำนาจมืดกดหัวให้เราทำอะไรไม่ได้" น.ส.พรรณิการ์ กล่าว