posttoday

คุก"สุรพงษ์" 2 ปี คดีออกพาสปอร์ตให้"ทักษิณ" แต่ศาลปรานีให้รอลงอาญา เหตุโรครุมเร้า

10 ตุลาคม 2562

องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ พิพากษา ยืนจำคุก "สุรพงษ์" 2 ปี คดีออกพาสปอร์ตให้"ทักษิณ" แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี เหตุโรครุมเร้า พร้อมเพิ่มค่าปรับเป็นเงินอีก 1 แสนบาท

องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ พิพากษา ยืนจำคุก "สุรพงษ์" 2 ปี คดีออกพาสปอร์ตให้"ทักษิณ" แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี เหตุ โรครุมเร้า พร้อมเพิ่มค่าปรับเป็นเงินอีก 1 แสนบาท

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 10 ตค. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง องค์คณะชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ ที่ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีการวม 9 คน ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาอุทธรณ์ คดีออกหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ให้กับนายทักษิณชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรีโดยมิชอบ ในคดีหมายเลขดำ อธ.อม.3/2561 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสุรพงษ์ หรือปึ้ง โตวิจักษณ์ชัยกุล อายุ 66 ปี อดีต รมว.ต่างประเทศ ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นจำเลย ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1

ซึ่งคดีนี้ อัยการสูงสุด ยื่นฟ้องเมื่อเดือน มี.ค.60 ภายหลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติต้นเดือน ก.พ.60 ที่ผ่านมา ชี้มูลความผิดทางอาญา นายสุรพงศ์ อดีต รมว.ต่างประเทศ ที่ได้ลงนามในการพิจารณาออกหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 ต.ค.54 ทั้งที่ขณะนั้นนายทักษิณ ยังเป็นบุคคลที่ถูกออกหมายจับในคดีร่วม นปช.ก่อการร้าย และคดีอาญาอื่น ๆ รวมทั้งคดีที่ศาลมีคำพิพากษาจำคุกแล้ว อันเป็นการกระทำที่ ขัดต่อระเบียบข้อบังคับกระทรวงการต่างประเทศ ว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 21 (2) (3) และ (4) ทำให้กระทรวงการต่างประเทศ เสียหาย

โดยคดีนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาไปเมื่อวันที่ 19 มิ.ย 61องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมาก พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 ซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวที่ผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดโดยให้จำคุกจำเลย เป็นเวลา 2 ปี ขณะที่พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่าการกระทำความผิดของจำเลยมีเจตนาช่วยเหลือผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลซึ่งหลบหนีให้สามารถเดินทางในต่างประเทศได้สะดวก และเป็นผลบั่นทอนความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย จึงไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษ

ต่อมา นายสุรพงษ์ อดีตรมว. ต่างประเทศจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คําพิพากษาดังกล่าวต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ซึ่งวันนี้ นายสุรพงษ์ จำเลยได้เดินทางมาพร้อมกับญาติ คนใกล้ชิด และทนายความ พร้อมฟังคำพิพากษา ซึ่งเดินทางมาถึงศาลฎีกาตั้งแต่เวลา 08.00 น. ก่อนถึงกำหนดนัดอ่านคำพิพากษาอุทธรณ์เวลา 11.00 น. โดย นายสุรพงษ์ สวมเสื้อผ้าชุดขาวนั่งรถเข็น สวมหน้ากากอนามัยและแว่นตาดำ พร้อมกับสวมหมวกด้วยเนื่องจากมีอาการป่วยหนัก ซึ่งในการฟังคำพิพากษานี้ศาลก็ได้จัดชุดเจ้าหน้าที่พยาบาลไว้เพื่อเตรียมความพร้อมกรณีมีเหตุฉุกเฉินด้วย

ขณะที่ องค์คณะชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ 9 คน พิเคราะห์พยานหลักฐานต่างๆแล้ว เห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลย ทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงใน  6 ประเด็นนั้นฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษาว่า นายสุรพงษ์ จำเลย มีความผิด

ส่วนที่จำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบานั้น องค์คณะฯ  เห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการขัดขวางกระบวนการยุติธรรมส่วนหนึ่ง เนื่องจากการกระทำนั้นทำให้นายทักษิณ เกิดความสะดวกในการเดินทางไปทางไปต่างประเทศทั้งที่ศาลได้มีคำพิพากษาคดีถึงที่สุดให้จำคุกในคดีที่ดินรัชดาภิเษก และในขณะนั้นก็มีหมายจับในคดีอื่นๆ ด้วย จึงไม่มีเหตุลดโทษ

ส่วนที่จำเลยขอให้รอการลงโทษนั้น เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์ตามที่จำเลยได้อุทธรณ์ว่าระหว่างพิจารณาคดีได้ส่งผลต่อสุขภาพ  จำเลยมีอาการป่วยเป็นเบาหวาน โรคหัวใจ และไขมันในเลือด  รวมทั้งมะเร็งซึ่งได้ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองที่คอและท้อง ขณะเดียวกันจำเลยก็มีอายุมากแล้ว องค์คณะฯ จึงเห็นควรให้โอกาส

โดย องค์คณะฯ มีมติเสียงข้างมาก พิพากษาแก้เป็ว่า ให้จำคุกจำเลย 2 ปี โดยโทษจำคุกนั้นรอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี แต่ให้มีโทษปรับในความผิดนี้ด้วยเป็นเงิน จำนวน 100,000 บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลัง  องค์คณะวินิจฉัยชั้นอุทธรณ์ได้อ่านคำพิพากษาอุทธรณ์เสร็จสิ้นแล้วญาติของนายสุรพงษ์จำเลย ก็ได้เตรียมเงินชำระค่าปรับแล้ว