posttoday

"ภูมิธรรม"ยกเหตุผล จี้นายกฯ ลาออก คืนความเชื่อมั่นฟื้นศก.

18 กันยายน 2562

ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้าน ยกเหตุผล จี้ นายกฯ คืนความเชื่อมั่นในการฟื้นเศรษฐกิจ ด้วยการลาออก

ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้าน ยกเหตุผล จี้ นายกฯ คืนความเชื่อมั่นในการฟื้นเศรษฐกิจ ด้วยการลาออก

เมื่อวันที่ 18 ก.ย. นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า คืนความเชื่อมั่นในการฟื้นเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีต้องลาออก

ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล หากมาจากรากฐานสำคัญของกระบวนการที่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งอำนาจเป็นของประชาชน อาจมิต้องห่วงกังวลกับเสถียรภาพของรัฐบาล หรือ คำถามว่า รัฐบาลจะไปรอดไหม จะอยู่ได้นานแค่ใด เพราะรัฐบาลนั้นมาจากพลังเสียงอำนาจของประชาชนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง ประชาชนย่อมเป็นฐานที่แข็งแกร่ง คอยโอบอุ้มรัฐบาล

แต่...สำหรับรัฐบาลปัจจุบัน ที่ก้าวขึ้นมาจากการต่อท่ออำนาจ ของการรัฐประหาร และ ปฏิเสธมิได้ว่าเป็น กระบวนการที่เชื่อมต่อกันมาตั้งแต่ การปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เพื่อโค่นล้มรัฐบาลประชาธิปไตย ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง

แม้รัฐบาลชุดนี้จะป่าวประกาศว่าเข้าสู่บรรยากาศประชาธิปไตยทั้งๆที่ตัวเองเป็นผู้กำหนดและออกแบบกติกา รัฐธรรมนูญ…ที่มีคนในรัฐบาลบอกว่า…”ออกแบบมาเพื่อพวกเรา” ทำให้สาธารณชนเกิดความคลางแคลงใจ ตั้งคำถามถึงการยอมรับและความไม่เชื่อมั่นต่อความชอบธรรมที่รัฐบาลมีอยู่

ดังนั้น นับตั้งแต่เริ่มต้น

ต้องถือว่า..”รัฐบาลสอบตกเรื่องความเชื่อมั่น “ โดยมีผลโพลจากหลายสำนักเป็นประจักษ์พยาน

ความไม่เชื่อมั่นนี้มิได้ดำรงอยู่แค่ในประเทศ แต่ กระจายไปถึงนักลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะเมื่อมีการบิดเบือนหลักกฎหมายเพื่อหาทางออกให้กับตนเองและพวกพ้อง การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายรัฐธรรมนูญของผู้นำรัฐบาล จนนำมาสู่ “การอภิปราย ทั่วไป ตามมาตรา152 “…ซึ่งล้วนเป็นภาพสะท้อน”รัฐบาลไม้หลัก ปักเลน” ที่มีการกระทำขัดต่อหลักนิติรัฐ นิติธรรม ตามแบบอย่างของประเทศประชาธิปไตยทั่วไป

อาจกล่าวได้ว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่เคยสร้างความเชื่อมั่น และ ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นได้ มิหนำซำ้ยังทำลายความเชื่อมั่นของตัวเอง ลงตลอดเวลา… จากรัฐมนตรีที่ถูกกล่าวหาว่าพัวพันคดียาเสพติด /จากการบริหารจัดการปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้วที่ไม่มีประสิทธิภาพของนายกรัฐมนตรี /จากความไม่สามารถจัดลำดับให้ความสำคัญของการบริหารราชการแผ่นดินว่าสิ่งใดควรทำก่อน สิ่งใดควรเร่งรีบในการจัดการปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนที่คุกคามประชาชนอยู่ หรือกระทั่งคำถามถึงศักยภาพและความสามารถของ”ผู้นำ”ที่บริหารจัดการ ควบคุมประเทศที่ล้มเหลวมาตลอด เวลากว่า 5 ปี ภายใต้อำนาจที่เบ็ดเสร็จ และเด็ดขาดที่ตนมีอยู่

เหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องสะท้อนและยืนยันผลงานความไร้ประสิทธิภาพและการไร้ความสามารถของรัฐบาลและผู้นำรัฐบาล ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล

มาถึงวันนี้สังคมไทยน่าจะเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นแล้วว่ารัฐบาลที่มาจากการปฏิวัติรัฐประหารทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องในการนำพาประเทศเดินไปข้างหน้า แต่กลับเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางการมีชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน

รัฐบาลนี้ยึดติดในอำนาจและพวกพ้อง กระทำการทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจของตนโดยมิได้คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นต่อสังคมไทยและยังได้สร้างวัฒนธรรมใหม่ที่ยึดถืออำนาจโดยมิได้หวั่นเกรงต่อกระบวนการตรวจสอบ  เมินเฉยต่อความคิดเห็นและความรู้สึกของประชาชนซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการได้มาซึ่งอำนาจ กลไกกติกาที่สร้างขึ้นมาเพื่อรักษาอำนาจนั้น มิได้ยึดโยงกับอำนาจของประชาชน ดังนั้น ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลจึงไม่เกิด และส่งผลต่อเนื่องถึงการแก้ปัญหาต่างๆ ของประเทศ

เราจึงได้เห็นภาพเปรียบเทียบ ถึงนายกฯในความทรงจำ ที่มาจากคะแนนเสียงของประชาชนซึ่งเข้าใจทุกข์สุขของพี่น้องประชาชนทำให้ประชาชนเชื่อมั่น และมีความหวัง กับ ภาพของนายกฯ ที่มาจากคะแนนเสียงทางลัด ที่ตนออกแบบขึ้นเพื่อการสืบต่ออำนาจในสภาฯ ซึ่งไม่มีวันที่จะเข้าใจทุกข์สุขของประชาชนอย่างถ่องแท้ เพราะถือตัวเป็น “นายของประชาชน” มากกว่า “ผู้รับใช้ประชาชน”

เมื่อไม่มีความเชื่อมั่น… ปัญหาเศรษฐกิจก็แก้ไม่ได้

เมื่อไม่มีความเชื่อมั่น…

ปัญหาความเดือดร้อนปากท้องของพี่น้องประชาชนก็แก้ไม่ได้

สรุปได้ว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่เคยสร้างและไม่มีความสามารถรวมทั้งไม่มีศักยภาพเพียงพอ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับประเทศ

ประเทศจึงต้องเผชิญกับภาวะวิกฤต ซ้ำซาก หาทางออกจากวิกฤตไม่ได้
ประชาชนขาดความหวัง
ประเทศขาดอนาคต

ถึงเวลาแลัว ที่นายกรัฐมนตรีต้องกล้าตัดสินใจแสดงความรับผิดชอบ ให้โอกาสกับประเทศ

“นายกรัฐมนตรีต้องลาออก”