posttoday

"อนาคตใหม่"ท้วงรัฐบาลจัดการข่าวปลอมไม่คืบ-เลือกปฏิบัติ

13 สิงหาคม 2562

"โฆษกพรรคอนาคตใหม่" ท้วงรัฐบาลจัดการข่าวปลอมไม่คืบ-เลือกปฏิบัติ แนะศึกษาคู่มือ UNESCO เป็นแนวทาง

"โฆษกพรรคอนาคตใหม่" ท้วงรัฐบาลจัดการข่าวปลอมไม่คืบ-เลือกปฏิบัติ แนะศึกษาคู่มือ UNESCO เป็นแนวทาง

นางสาวพรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ แถลงข่าวประจำสัปดาห์ในประเด็นการเมืองต่างๆ ทั้งในเรื่องของข่าวปลอม (fake news) และวาระในสภาผู้แทนราษฎรของพรรคอนาคตใหม่ในการประชุมสภาสัปดาห์นี้ โดยในประเด็นเรื่องของข่าวปลอมนั้น นางสาวพรรณิการ์ระบุว่าจากการที่ตนได้ตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ตนยังคงไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากรัฐบาล รวมถึงล่าสุด พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ ยังออกมาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ พูดพาดพิงพรรคการเมืองพรรคหนึ่งว่ากำลังล้างสมองเยาวชน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าหมายถึงพรรคอนาคตใหม่ ทำให้ประเด็นนี้มีปัญหารุนแรงมากขึ้นไปอีก เพราะสะท้อนมุมมองที่มีปัญหาจากภาครัฐ ไม่ใช่เฉพาะตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจดิจิตัลเพื่อสังคม (ดีอี) หรือ ผบ.ทบ อย่างเดียว

นางสาวพรรณิการ์ระบุต่อว่าพรรคอนาคตใหม่ได้ติดตามเรื่องการก่อตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมของรัฐบาลมาโดยตลอด นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีดีอี ซึ่งยืนยันว่าจะทำหน้าที่อย่างเป็นกลางและไม่ให้ถูกครหาได้ว่าใช้อำนาจรัฐไปเพื่อจำกัดการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ได้นำเสนอผลงานล่าสุดออกมา คือกรณีเปิดเผยถึงข่าวที่มีการเผยแพร่กันในเรื่องของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นการนำข่าวเก่ามาเผยแพร่ซ้ำว่าเป็นข่าวปลอม สะท้อนว่าการดำเนินงานของกระทรวงดีอีค่อนข้างมีปัญหา ทั้งการนิยามและการปฏิบัติต่อข่าวปลอมที่เกิดขึ้นกับบุคคลต่างๆ มีการเลือกที่จะตอบโต้ข่าวที่กระทบผลงานของรัฐบาลเพียงอย่างเดียว

แต่เมื่อมองย้อนกลับมาสู่กรณีที่เกิดขึ้นมากมายในอดีตที่ผ่านมา ตั้งแต่กรณีของการตัดต่อภาพเวทีพรรคพลังประชารัฐในช่วงหาเสียงให้ดูมีคนมาก, การนำเอาคลิปเสียงมาเผยแพร่โดยอ้างว่าเป็นเสียงของนายทักษิณ ชินวัตร และของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, เพจเดรัจฉานนิวส์ที่นำเสนอข่าวว่านายธนาธรไปพูดเรื่องวัดไม่ควรตีระฆังทั้งที่ไม่เคยพูด, กรณีผู้อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดในกรุงเทพฯ ที่มีการกล่าวหาว่านักการเมืองฝ่ายค้านเข้าไปเกี่ยวข้อง แล้วยังเผยแพร่โดย ส.ส.ของรัฐบาลเอง, อีกทั้งการสร้างข่าวเรื่องพรรคอนาคตใหม่มีกองกำลัง ฯลฯ

กรณีต่างๆเหล่านี้ ทำให้ตนต้องออกมาทวงถามว่านายพุทธิพงษ์จะจัดการอย่างไร วิธีคิดของนายพุทธิพงษ์มีปัญหามาก ว่าการจัดการข่าวลวงข่าวปลอมต่างๆจะเน้นจัดการกับข่าวที่กระทบต่อประชาชนเป็นหลัก เช่นข่าวปลอมที่มีการพูดถึงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหลังเหตุระเบิดในกรุงเทพมหานคร นั่นแปลว่านายพุทธิพงษ์กำลังจะบอกว่าข่าวที่มีการกล่าวหาว่านักการเมืองคนนั้นคนนี้อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิด ไม่ใช่เรื่องเสียหายหรือเรื่องที่กระทบต่อประชาชนเท่ากับข่าวการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างนั้นหรือ ทั้งๆที่ทั้งสองข่าวเป็นข่าวปลอมและเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดเช่นกัน

“แนวคิดแบบนี้อันตราย การกล่าวหาบุคคลหรือองค์กรใดด้วยเฟคนิวส์ ผู้เสียหายไม่ใช่แค่ผู้ถูกกล่าวหาเพียงอย่างเดียว ผู้ที่เสียหายคือประชาชน ที่ได้รับทราบข้อมูลที่สร้างความแตกแยกและเกลียดชังในสังคม ข้อมูลที่ปราศจากความจริงโดยสิ้นเชิง ผู้เสียหายคือประชาชนและประเทศชาติ กระทรวงดีอีไม่สามารถมาบอกได้ว่าการโจมตีบุคคลหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งโดยเฉพาะพรรคการเมืองไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับประชาชน นี่คือทัศนคติที่ผิดตั้งแต่ต้นในการจัดการเฟคนิวส์” นางสาวพรรณิการ์กล่าว

นอกจากนี้ นางสาวพรรณิการ์ยังได้เรียกร้องไปยังกระทรวงดีอี ถึงกรณีที่นายพุทธิพงษ์ระบุว่าจะให้มีสำนักข่าวหรือสื่อ เข้าไปช่วยให้ข้อมูลกับศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมด้วย ซึ่งถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดี แต่ตนก็ขอเรียกร้องให้กระทรวงดีอีเปิดเผยข้อมูลในส่วนนี้ออกสู่สาธารณชนด้วย ว่าสำนักข่าวใดบ้างที่กระทรวงได้เลือกเข้าไปให้ข้อมูลบ้าง เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าสำนักข่าวต่างๆล้วนแต่มีจุดยืนทางการเมืองไม่เหมือนกัน

สุดท้าย ขอเรียกร้องว่าการทำงานของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ควรที่จะยึดหลักสากลตามคู่มือของ UNESCO ที่เพิ่งเผยแพร่ตีพิมพ์ออกมาเมื่อไม่นานมานี้ และได้รับการยอมรับนับถือว่ามีความเป็นกลาง เป็นวิชาการ และมีความเป็นสากล โดยประเด็นสำคัญหนึ่งที่ UNESCO ยกมา คือไม่ควรที่จะให้รัฐเข้ามาเป็นผู้จัดการข่าวปลอมโดยลำพัง เพราะจะนำไปสู่ปัญหาที่เรียกว่าการมี “กระทรวงสัจจะ” หรือ “กระทรวงความจริง” (Ministry of Truth) ขึ้นมา เพราะหากให้รัฐเป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินและควบคุมว่าข่าวใดจริงหรือปลอม จะมีความเสียงอย่างสูงที่รัฐจะใช้อำนาจในทางมิชอบไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของสื่อ และไปตัดสินว่าข่าวใดจริงหรือปลอมโดยอิงกับผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก เช่นถ้าเกิดการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล รัฐบาลอาจออกมาบอกได้ว่านี่คือข่าวปลอมทั้งๆที่เป็นเรื่องจริง ดังนั้นจึงขอให้กระทรวงฯ ศึกษาคู่มือของ UNESCO นี้ให้ถ่องแท้ เพื่อให้การทำงานของศูนย์โปร่งใส เป็นกลาง และได้รับการยอมรับในระดับสากลจริงๆ

นอกจากนี้ นางสาวพรรณิการ์ยังได้ฝากถึงนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ ผบ.ทบ ว่าสิ่งที่ท่านพูดอยู่เสมอ ว่าพวกปล่อยข่าวปลอมเป็นผู้ไม่หวังดี ทำลายชาติบ้านเมือง ล้วนแต่เป็นการตอบแบบกำปั้นทุบดิน เพราะทุกคนรู้กันอยู่แล้วว่าผู้ปล่อยข่าวปลอมไม่ใช่ผู้หวังดีและเป็นภัยต่อชาติบ้านเมือง ประชาชนไม่ได้ต้องการรับรู้เรื่องนั้น

“เราคาดหวังให้ผู้บริหารประเทศออกมาพูดว่าจะจัดการกับเรื่องเหล่านั้นอย่างไรต่างหาก จัดการให้ประชาชนเชื่อได้ว่าท่านไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แต่ทำเพื่อประชาชน เลิกการพูดแบบกำปั้นทุบดินแบบนี้ได้แล้ว แล้วบอกประชาชนว่าจะจัดการอย่างไร อย่าให้ประเทศไทยเดินไปถึงเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 หรือพฤษภา 35 ที่ข่าวปลอมทำให้คนลุกขึ้นมาฆ่ากันโดยที่เห็นว่าเป็นเรื่องปกติ อย่าให้ไปถึงขั้นนั้นเราค่อยได้รับรู้ว่ารัฐบาลจะจัดการอย่างไร” นางสาวพรรณิการ์กล่าว