posttoday

เผย'บิ๊กป.'ผู้บริหารป.ป.ช.พัน260ล้านปาล์มอินโดฯ

09 สิงหาคม 2562

กรรมการปปช.นัดชี้ขาด13ส.ค.หลัง"บิ๊กป."ร้องขอความเป็นธรรมปมไม่แจ้งทรัพย์ภรรยา 260 ล้านจากธุรกิจซื้อขายที่ดินปลูกปาล์มอินโดนีเซียของปตท.

กรรมการปปช.นัดชี้ขาด13ส.ค.หลัง"บิ๊กป."ร้องขอความเป็นธรรมปมไม่แจ้งทรัพย์ภรรยา 260 ล้านจากธุรกิจซื้อขายที่ดินปลูกปาล์มอินโดนีเซียของปตท.

แหล่งข่าวจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)เปิดเผยว่า ผู้บริหารระดับสูงในสำนักงาน ป.ป.ช.ที่ถูกคณะกรรมการป.ป.ช.ชี้มูลฐานจงใจแจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงอันควรแจ้งให้ทราบ จำนวน 260 ล้านบาท นั้น มีอักษรย่อ"ป"ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนงานของสำงานป.ป.ช.

ทั้งนี้ทรัพย์สินดังกล่าวอยู่ในชื่อภรรยา ซึ่งได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับการซื้อที่ดินของปตท.ในการปลูกปาล์มที่อินโดนีเซีย ซึ่งมีเงินในบัญชีทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ260 ล้านบาท ซึ่งไม่ได้แจ้งทรัพย์สินต่อป.ป.ช.

แหล่งข่าวกล่าวว่า การตรวจสอบพบเงินดังกล่าว เนื่องจากกรณีไต่สวนคดีปลูกปาล์มน้ำมันอินโดนีเซีย อันเนื่องจากบริษัท ปตท ตั้งบริษัท พีทีที กรีนเอเนอร์ยี หรือ พีทีที จีอี ลงทุนโครงการปลูกปาล์มน้ำมันที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งถือเป็นคดีข้ามชาติ ที่ ป.ป.ช. ทำงานร่วมกับหลายหน่วยงานในการตรวจสอบทุจริต และทางสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)ได้ตรวจสอบเส้นทางการเงินที่มีความผิดปกติ ในกรณีการจ้างค่านายหน้าที่ดินแพงเกินจริง โดย พบว่า มีผู้บริหารระดับสูงของ ปตท. มีส่วนรู้เห็น และมีการโอนเงินเข้าบัญชีคนไทยด้วย หนึ่งในนั้นเป็นภรรยา ของผู้บริหารระดับสูงใน ป.ป.ช.

จากนั้น ป.ป.ง. ส่งหนังสือแจ้งให้ป.ป.ช.ตรวจสอบ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า บิ๊กป.ผู้บริหารระดับสูง ป.ป.ช.คนดังกล่าว ไม่ได้ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินในส่วนนี้ที่เป็นของภรรยา ทางคณะกรรมการป.ป.ช. จึงได้ตั้งองค์คณะ (กรรมการ ป.ป.ช.9 คน) ขึ้นมาไต่สวน จึงพบว่าเกิดความผิดปกติในการยื่นบัญชีทรัพย์สินฯของคู่สมรสผู้บริหารคนดังกล่าว ทางคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่ มีมติชี้มูลความผิดผู้บริหารระดับสูงดังกล่าว ฐานจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินฯ อันเป็นเท็จ หรือปกปิดทรัพย์สินฯ ที่ควรแจ้งต่อ ป.ป.ช.และให้ส่งสำนวน ไปยังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ เนื่องจากเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ

นอกจากจะส่งสำนวนไปยังศาลแล้ว ต้นสังกัดต้องพิจารณาลงโทษทางวินัย โดยอาจให้พ้นจากตำแหน่งด้วยการไล่ออก หรือให้ออก อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีสิทธิ์ไต่สวนหากพบว่าเป็นกรณีร่ำรวยผิดปกติ และดำเนินการยึดทรัพย์ให้ตกเป็นของแผ่นดิน

อย่างไรก็ตามล่าสุดบิ๊กป.ได้ส่งหนังสือขอความเป็นธรรมมา ซึ่งคณะกรรมการป.ป.ช.จะพิจารณาชี้ขาดกันในวันที่13ส.ค.นี้อีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปหรือจะยืนยันที่จะชี้มูลตามมติเดิม

แหล่งข่าวกล่าวว่า คดีดังกล่าวนั้นเป็นคนละส่วนกับที่ทางสภาหอการค้าอินโดนีเซีย เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อหัวหน้าสถานีตำรวจท้องที่ Depok ให้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ป.ป.ช.ของไทย 3 คน คือ นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ นายสิญภพ รูปเตี้ย และน.ส.วิไลลักษณ์ ศรีสุขใส ในข้อหาให้สินบนพยานเพื่อสร้างพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ

ด้าน พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานป.ป.ช. กล่าวว่าเรื่องการสอบผู้บริหารของป.ป.ช.นั้น เกิดขึ้นจากเหตุอันควรสงสัย โดยพบว่ากรณีดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่อาจเกี่ยวพันกับคู่สมรสของผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมาย ถูกต้อง และที่สำคัญคือเปิดโอกาสให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ส่วนกรณีผู้ถูกกล่าวหาขอความเป็นธรรม โดยขอเข้าชี้แจงด้วยวาจานั้น พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องพิจารณาเหตุผลและความจำเป็น อย่างไรก็ดีขณะนี้องค์คณะไต่สวน (คณะกรรมการ ป.ป.ช. 9 ราย เป็นองค์คณะฯ) ยังไม่ได้พิจารณา ส่วนเรื่องจะยุติ ภายในวันที่ 13 ส.ค.นี้หรือไม่ยังตอบไม่ได้ แต่ยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

"ต้องดูว่าผู้ถูกกล่าวหายื่นร้องขอความเป็นธรรมอะไรมา เรื่องนี้เป็นเรื่องทางกฎหมาย เป็นการดูคนละมุมกัน มุมมองนักกฎหมายถกเถียงกัน แต่ยืนยันที่สำคัญคือให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และพิจารณาตามพยานหลักฐานอย่างแท้จริง" พล.ต.อ.วัชรพล กล่าว

สำหรับเรื่องที่ อดีตประธานหอการค้าอินโดนีเซีย- ไทยแจ้งจับ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการป.ป.ช. พร้อมพวกข้อหาติดสินบนพยานเพื่อให้การเท็จว่า ยังไม่ได้รับรายงานอย่างเป็นทางการ ได้รับทราบจากข่าวเท่านั้น แต่เท่าที่ดูจากข่าวแล้วไม่น่ามีอะไรน่าเป็นห่วง เรื่องนี้เคยมีการพูดกันแล้ว และมีการชี้แจงว่ากระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. กับการทำงานระหว่างประเทศนั้น ระมัดระวังอยู่แล้ว การที่จะไปทำอะไรต่างๆ เป็นหน้าที่ของประเทศนั้นๆ กับผู้ประสานงานระหว่างประเทศ และเป็นไปตามระเบียบกฎหมายอาญา ซึ่ง น.ส.สุภา เคยมาชี้แจงเรื่องนี้แล้ว ส่วนตัวเชื่อมั่นการทำงานของ น.ส.สุภา ว่าทำงานอย่างมืออาชีพ ตรงไปตรงมา

อย่างไรก็ตาม ขอเรียนตามตรงว่าเป็นคำกล่าวหาที่รุนแรง เพราะ ป.ป.ช.เป็นคนทำตามหน้าที่ เราเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ หาก ป.ป.ช.ทำผิดเสียเองโทษต้องเป็นสองเท่า ดังนั้น จึงไม่มีใครไปทำอย่างนั้น โดยเฉพาะคดีสำคัญระหว่างประเทศ การจะได้มาซึ่งหลักฐานที่จะนำไปใช้ในศาลได้นั้น จะต้องเป็นหลักฐานที่ได้มาโดยชอบ จึงเป็นกระบวนการทำงานที่ต้องระมัดระวังอย่างมาก

"ไม่เป็นห่วงอะไรกับข่าวที่ออกมา อย่างไรก็ตามกรณีที่เกิดขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบทำให้การพิจารณาคดีปาล์มน้ำมันอินโดนีเซียต้องสะดุดลง ขณะนี้ขั้นตอนการพิจารณาคืบหน้าไปมาก พูดได้ว่า 80% โดยมีการแจ้งข้อกล่าวหาไปบ้างแล้ว แต่ยังไม่ครบตามจำนวนของผู้ถูกกล่าวหา เนื่องจากแต่ละคดีมีรายละเอียดแตกต่างกันไป คดีเหล่านี้ ป.ป.ช.กำลังพยายามเร่งรัดให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว ตอนนี้มีทั้งถูกฟ้อง ขออุทธรณ์ ขอชี้แจง ซึ่งเราต้องให้ความเป็นธรรม" พล.ต.อ.วัชรพล กล่าว