posttoday

"ปิยบุตร"ยัน "ธนาธร"โอนหุ้นถูกต้องทุกขั้นตอน โชว์กม.ชี้นำกกต.เห็นแบบนี้ต้องยกคำร้อง

22 เมษายน 2562

“เลขาอนาคตใหม่”แจงแทนนาย  อ้างเมื่อวันที่ 8 ม.ค. "ธนาธร"กลับมาโอนหุ้น“วี-ลัค”จริง -ท้วง กกต.ไม่เคยเรียก ไปให้ข้อมูล

“เลขาอนาคตใหม่”แจงแทนนาย  อ้างเมื่อวันที่ 8 ม.ค. "ธนาธร"กลับมาโอนหุ้น“วี-ลัค”จริง -ท้วง กกต.ไม่เคยเรียก ไปให้ข้อมูล

เมื่อวันที่ 22 เม.ย.62 นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่(อนค.) แถลงชี้แจง กรณีการโอนหุ้นบริษัทวี-ลัคมีเดีย โดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค และนางรวิพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ ภรรยา

นายปิยบุตร ระบุว่า ใครที่เรียนวิชานิติศาสตร์มา โดยเฉพาะในวิชาหุ้นส่วนบริษัท จะพบได้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน แต่ก็ยังคงมีสื่อมวลชนบางสำนักเผยแพร่ข่าวนี้อย่างต่อเนื่อง และมีการพาดหัวชี้นำมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดคำถามว่ามีความต้องการลดความน่าเชื่อถือของพรรคหรือไม่

เลขาธิการพรรคอนค. กล่าวว่า เดิมทีพรรคต้องการชี้แจงต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แต่จนถึงวันนี้ กลับยังไม่เคยได้รับการติดต่อเชิญจาก กกต.ให้ไปชี้แจงแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆที่เตรียมเอกสารหลักฐานไว้พร้อมหมดแล้ว และยังมีสื่อมวลชนบางสำนักอ้างอิงถึงแหล่งข่าวใน กกต. แจ้งว่าจะมีการชี้มูลภายใน 1-2 วันนี้

โดยอาศัยข้อมูลจากกรรมการช่วยตรวจสอบ ซึ่งมีการเรียกหนังสือจากหน่วยงานต่างๆเข้าไปประกอบเพียงฝ่ายเดียว แต่เรากลับไม่ทราบเรื่องนี้จาก กกต.เลย มาทราบผ่านสื่อมวลชนแทน จึงเกิดความกังวลใจว่ากระบวนการพิจารณาของ กกต.อาจจะขัดกับหลักการของกฎหมายในการรับฟังคำชี้แจงจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

พรรคจึงขอชี้แจงต่อกรณีนี้ และวันนี้นายธนาธร ซึ่งอยู่ระหว่างการเดินทางไปทำภารกิจที่ยุโรป ได้มอบอำนาจให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคนำเอกสารหลักฐานต่างๆที่เตรียมเอาไว้เข้าไปชี้แจงกับทาง กกต.แล้ว

นายปิยบุตร กล่าวว่า ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ที่ห้ามผู้สมัคร ส.ส.ครอบครองถือหุ้นสื่อ เพื่อป้องกันไม่ให้นักการเมืองได้มีโอกาสใช้อิทธิพลของตัวเองไปครอบงำสื่อ และเมื่อกติกากำหนดมาเช่นนี้ ด้านนายธนาธรก็พร้อมที่จะปฏิบัติตาม เมื่อทราบข้อกฎหมายแล้วจึงได้ปฏิบัติตามโดยไล่เรียงตามลำดับดังนี้:

วันที่ 8 ม.ค.62 นายธนาธรและภรรยาได้ดำเนินการโอนหุ้นให้กับนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ โดยมีเอกสารคือตราสารโอนหุ้นพร้อมการลงนามรับรองของโนตารี่ พร้อมใบหุ้นรับรองว่าได้มีการโอนหุ้นกันเกิดขึ้นจริง พร้อมเช็คขีดคร่อม และมีการบันทึกลงไว้อยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นสมบูรณ์เรียบร้อย เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 วรรค 2 ที่ระบุให้การโอนหุ้น จะมีผลสมบูรณ์เมื่อมีการทำเป็นหนังสือ และมีการลงนามโดยผู้โอนหุ้นกับผู้รับโอนหุ้นและมีหมายเลขหุ้น

และวรรค 3 ที่ว่าการโอนเช่นนี้จะนำมาใช้แก่บริษัทหรือบุคคลภายนอกไม่ได้จนกว่าจะได้จดแจ้งการโอนทั้งชื่อและสำนักของผู้รับโอนนั้นลงในทะเบียนผู้ถือหุ้น ซึ่งในคำพิพากษาศาลฎีกาก็มีการกำหนดเป็นแนวทางไว้แล้ว ว่าเมื่อใดก็ตามที่มีการจดแจ้งในทะเบียนผู้ถือหุ้นแล้ว ถือว่ามีผลต่อบุคคลภายนอกแล้ว

“ดังนั้นกรณีนี้จึงชัดเจนเป็นอย่างยิ่งว่าคุณธนาธรและคุณรวิพรรณได้ทำการโอนหุ้นสมบูรณ์ มีผลทางกฎหมายเรียบร้อยแล้ว นับแต่วันที่ 8 ม.ค. คุณธนาธรจึงไม่ได้ถือหุ้นในบริษัทวี-ลัคมีเดียอีกต่อไป เรื่องนี้ควรจะจุดฟูลสต๊อปจบได้แล้ว มีผลทางกฎหมาย ผูกพันผู้โอน ผู้รับโอน และบุคคลภายนอกบริษัทสมบูรณ์แล้ว” นายปิยบุตร กล่าว

นายปิยบุตร กล่าวต่อว่า ทั้งๆที่ตามเอกสารหลักฐาน ทุกอย่างควรจะจบลงที่จุดนี้ แต่สื่อมวลชนสำนักดังกล่าวก็ยังพยายามชี้นำว่านายธนาธรไปปรากฏตัวอยู่ที่จังหวัดบุรีรัมย์ในวันที่ 8 ม.ค. จะเกิดการโอนหุ้นได้อย่างไร

ซึ่งต่อกรณีนี้การปรากฏตัวอยู่ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ตนเองอยู่ในเหตุการณ์ ร่วมปราศรัยกับนายธนาธรที่ อ.สะตึก จ.บุรีรัมย์ โดยนายธนาธรขึ้นรถกลับมาที่กรุงเทพก่อนในช่วงบ่ายของวันที่ 8 ม.ค. เนื่องจากต้องมาจัดการเรื่องโอนหุ้นนี้ ส่วนตนปราศรัยเลี้ยงเวทีไว้หลังนายธนาธรเดินทางกลับ มีหลักฐานการจ่ายเงินค่าทางด่วนอีซี่พาสชัดเจน

ก่อนเดินทางออกจากบ้านไปสนามบินดอนเมืองเพื่อขึ้นเครื่องบินไป จ.นครศรีธรรมราชในวันที่ 9 ม.ค. มีหลักฐานการจ่ายเงินค่าทางด่วนอีซี่พาส และตั๋วเครื่องบิน ทั้งหมดเป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างชัดเจน ว่าคืนวันที่ 8 ม.ค. นายธนาธรอยู่ที่กรุงเทพ เพื่อทำธุระเรื่องการโอนหุ้นจริง

หลังจากนั้น ในวันที่ 14 ม.ค. 62 นางสมพรได้โอนหุ้นให้นายทวีและนายปิติ ซึ่งเป็นหลานชาย โดยมีเอกสารหลักฐานเป็นตราสารโอนหุ้นและสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น โดยเหตุผลคือจากเดิมที่ตั้งใจจะปิดบริษัทตั้งแต่ปี 2561 แต่เนื่องจากบริษัทยังมีลูกหนี้ที่หนี้ค้างชำระกับบริษัทอยู่กว่า 11 ล้านบาท นางสมพรจึงทำตามคำแนะนำของฝ่ายบัญชีบริษัท ว่าควรจัดการสะสางเรื่องหนี้สินนี้ให้เสร็จเรียบร้อยก่อน จึงได้โอนหุ้นให้หลานชายเพื่อให้มาทดลองทำธุรกิจด้วย

จากนั้นในวันที่ 19 มี.ค. 62 ได้มีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นบริษัทวี-ลัคมีเดียครั้งที่ 1/62 มีผู้ถือหุ้นเข้าประชุม 10 คน โดยมีผู้ถือหุ้นเข้าประชุมด้วยตัวเอง 4 คน ที่เหลืออีก 6 คนมอบอำนาจให้ผู้ถือหุ้นอีก 4 คนเข้าประชุมแทน

โดยวาระการประชุมคือแจ้งการลาออกของนางรวิพรรณและแจ้งปิดกิจการ เนื่องด้วยฝ่ายบัญชีบริษัทมาตรวจสอบทราบทีหลังว่าหนี้สินที่มีลูกหนี้คงค้างกับบริษัทนั้น เป็นหนี้ NPL คือลูกหนี้หมดศักยภาพในการใช้หนี้แล้ว

นายทวีและนายปิติจึงได้มีการโอนหุ้นกลับมาให้นางสมพรอีกครั้ง เพื่อดำเนินการปิดกิจการ เมื่อวันที่ 21 มี.ค. 62 โดยมีหลักฐานเป็นตราสารการโอนหุ้นและสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น

จากนั้ย บริษัทวี-ลัคมีเดียจึงได้ยื่นสำเนาบัญชีผู้ถือหุ้นตาม บอจ.5 ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในวันที่ 21 มี.ค.62 โดยเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ระบุให้มีการยื่นปีละหนึ่งครั้ง ภายใน 14 วันหลังการประชุมผู้ถือหุ้น และที่มีการยื่นในวันที่ 21 มี.ค. ก็เพราะมีการประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 19 มีนาคม เป็นการกระทำที่อยู่ในขอบเขตของกฎหมายทั้งหมด

นายปิยบุตร กล่าวว่า ดังนั้น การโอนหุ้นดังกล่าวมีผลทางกฎหมายเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. เรียบร้อยแล้ว ซึ่งตนก็หวังว่าทาง กกต.จะมีความเป็นธรรม และหากพิจารณาตามเอกสารหลักฐานทั้งหมด ควรจะเห็นได้ว่ามีความสมบูรณ์พอแล้วที่จะชี้ว่าเรื่องนี้ไม่มีมูลดังที่ถูกกล่าวหา

ทั้งนี้ เมื่อทาง กกต.ยังไม่เคยเปิดโอกาสให้พรรคอนาคตใหม่ชี้แจง ทางฝ่ายกฎหมายของพรรคก็จะขอนำเอกสารทั้งหมดที่ตนชี้แจงในวันนี้ ไปยื่นให้ กกต.ด้วยตนเอง และหวังว่าทาง กกต.จะรับไว้พิจารณาก่อนที่จะมีการชี้มูลออกมา

“ถ้าพิจารณากันด้วยจิตใจเป็นธรรม เอกสารที่ผมพูดมาเนี่ย หลักฐานการโอนหุ้นต่างๆ เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 62 เห็นแค่นี้นะครับ ต้องมีมติทันทีแล้วว่าเรื่องนี้ไม่มีมูล หลักฐานทางกฎหมายข้อเท็จจริงครบถ้วน ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องมาตั้งกรรมการสอบสวน แล้วพอตั้งกรรมการสอบสวน ตั้งกรรมการช่วยตรวจสอบขึ้นมา มีการไปขอเอกสารจากหน่วยงานนู้นหน่วยงานนี้เต็มไปหมด แต่ไอ้คนที่ถูกกล่าวหาเนี่ยยังไม่เคยได้รับโอกาสให้ชี้แจงเลย” นายปิยบุตร กล่าว

นายปิยบุตร กล่าวต่อว่า พรรคอนค.สนับสนุนการใช้เสรีภาพของสื่อมวลชน และมีนโยบายหลายอย่างที่จะส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แต่ทั้งนี้ สื่อมวลชนมีหน้าที่ในการเสาะแสวงหาและเผยแพร่ข้อเท็จจริง ไม่ใช่การเอาข้อเท็จมาขยายความจนสังคมหลงเชื่อว่าเป็นความจริง