posttoday

4 ว่าที่ส.ส."อนาคตใหม่" เผยประสบการณ์สู่ชัยชนะ

31 มีนาคม 2562

พรรคอนาคตใหม่จัดอบรมว่าที่ ส.ส.-อดีตผู้สมัคร ขณะที่ 4 ว่าที่ส.ส.พรรคที่ชนะเลือกตั้งเผยเคล็ดลับหาเสียงจนครองใจประชาชน

พรรคอนาคตใหม่จัดอบรมว่าที่ ส.ส.-อดีตผู้สมัคร ขณะที่ 4 ว่าที่ส.ส.พรรคที่ชนะเลือกตั้งเผยเคล็ดลับหาเสียงจนครองใจประชาชน

พรรคอนาคตใหม่จัดสัมมนาอบรมว่าที่ ส.ส.และอดีตผู้สมัคร ส.ส.ทั่วประเทศ โดยวันนี้ได้มีวาระพิเศษเป็นการถ่ายทอดประสบการณ์ของว่าที่ ส.ส. ส่วนหนึ่งที่ชนะการเลือกตั้งใน 4 เขต ประกอบไปด้วยนายสัตวแพทย์ปดิพัทธ์ สันติภาดา ว่าที่ ส.ส.เขต 1 จ.พิษณุโลก, นางสาวญาณธิชา บัวเผื่อน ว่าที่ ส.ส.เขต 3 จ.จันทบุรี, นายพีรเดช คำสมุทร ว่าที่ ส.ส.เขต 6 จ.เชียงราย, และนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ว่าที่ ส.ส.เขต 25 กรุงเทพมหานคร

โดยในส่วนของนายสัตวแพทย์ปดิพัทธ์ สันติภาดา ระบุว่าส่วนตัวเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพมหานคร ไม่รู้จักใครที่บ้านเกิด แต่ด้วยความอยากเป็นผู้แทนของคนพิษณุโลกในการผลักดันการกระจายอำนาจกลับสู่บ้านเกิด และความต้องการท้าทายการเมืองแบบเก่า ตนจึงตัดสินใจลงสมัครเป็น ส.ส.ในครั้งนี้

นายสัตวแพทย์ปดิพัทธ์ สันติภาดา ยอมรับว่าหลังจากลงสมัครแรกๆ ตนมีความหวั่นใจอยู่เล็กน้อย เพราะคู่แข่งล้วนแต่เป็นคนใหญ่โตมีชื่อเสียง แต่เมื่อตนกลับมาคิดทบทวนดีๆ ถึงจุดแข็ง-จุดอ่อนของตนกับคู่แข่ง จึงเห็นว่ายังมีหนทางที่จะชนะได้อยู่

นายปดิพัทธ์จึงเปรียบว่าการต่อสู้ของตัวเองเป็นเหมือนกระต่ายกับเต่า เพราะในขณะที่คู่แข่งออกตัวเร็วและแรงมาก ตนจะเน้นใช้ความมุ่งมั่นอดทน ทำกิจวัตรการหาเสียงประจำวันไปอย่างช้าๆแต่มั่นคง โดยเน้นใช้การตลาดนำการรณรงค์ ใช้โซเชียลมีเดียถ่ายทอดเรื่องราวของคนธรรมดา ใช้ทีมงานที่ small, smart และ strong รวมทั้งการใช้เงินอย่างจำกัด คุ้มค่า และไม่ใช้การซื้อเสียงอย่างเด็ดขาด

“ส่วนสำคัญคือการเน้นการรณรงค์ว่าหนึ่งเสียงของทุกคนเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้ เราชูเรื่องราวของคนธรรมดา ของคนทั่วไปที่ไม่ใช่นักการเมืองหรือผู้ยิ่งใหญ่ ว่าพวกเขาเหล่านี้ต่างหากคือพลังที่เปลี่ยนแปลงสังคมได้” นายสัตวแพทย์ปดิพัทธ์กล่าว

ในส่วนของนางสาวญาณธิชา ระบุว่าสิ่งที่เป็นจุดแข็งหลักของตน คงเป็นเรื่องของการใช้จิตวิญญาณในการทำงาน เริ่มต้นจากการมองเห็นความอึดอัดของคนในสังคม และความอยากเปลี่ยนประเทศนี้ให้ดีขึ้น ทีแรกไม่มีความอยากเป็น ส.ส.เลย เพียงแค่คิดว่าอยากเก็บคะแนนให้พรรค แต่มีเหตุการณ์หนึ่งที่ตนได้บังเอิญเจอผู้ติดตามข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งในจังหวัด มาท้าทายอุดมการณ์ของพรรคเรื่องคนไทยเท่าเทียมกันว่าเป็นไปไม่ได้ แล้วยังมาวางท่าใหญ่โตใส่ ตนจึงเกิดแรงฮึดที่อยากจะเป็น ส.ส.ขึ้นมา เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าคนเท่าเทียมกันเป็นจริงได้

นางสาวญาณธิชากล่าวว่าตนเริ่มต้นจากความไม่มีอะไรเลย ฐานเสียงไม่มี ผู้ใหญ่บ้านก็ไม่รู้จัก ไม่คิดถึงคำว่าแพ้หรือชนะ คิดเพียงจะทำอย่างไรใหัพรรคได้คะแนนมากที่สุด เราอยากทำการเมืองแบบใหม่ ทีมงานเราอายุไม่เกิน 30 หมด มีความเชื่อใกล้เคียงตรงกันในเรื่องการทำการเมืองแบบใหม่ ก็ไปด้วยกันได้

“เชื่อว่าเดินเยอะกว่าทุกคนที่ลงแข่งในเขตเดียวกัน ใช้เงินน้อยที่สุด ไม่เคยเสียเหล้าแม้แต่ขวดเดียว และไปงานศพกับงานแต่งน้อยมาก เพราะไม่อยากไปหาประโยชน์จากงานของเขา และด้วยงบที่จำกัด ไม่มีเงินไปจ้างรถแห่หาเสียง จึงเน้นใช้วิธีการเดินเอา เริ่มแรกเหนื่อยและท้อใจมาก ต้องเดินเป็นระยะไกลๆ หลายกิโล ช่วงนั้นอากาศก็ร้อน เดินไปน้ำตาคลอเบ้าไป ถึงกับตั้งคำถามว่าฉันมาทำอะไรที่นี่ แต่อารมณ์ตรงนั้นมันน้อยกว่าความรู้สึกอยากเปลี่ยนแปลงประเทศนี้มาก อย่างที่บอกไม่ได้คิดถึงว่าจะแพ้หรือชนะ เราคิดอย่างเดียวว่าเราจะทำเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ อีกอย่าง ความจริงใจสำคัญมาก เราเชื่อในเรื่องของคนเท่ากัน และเราทำแบบนั้นจริงๆ เราทำตัวน่ารัก อ่อนน้อมให้ทุกคนเสมอ แม้จะได้เป็นว่าที่ ส.ส.แล้ว แต่เรายังรู้สึกว่าตัวเราเท่าเดิม ไม่ได้ตัวใหญ่โตอะไรขึ้น เราทำตัวน่ารักเหมือนเดิม” นางสาวญาณธิชากล่าว

ในส่วนของนายพีรเดช ระบุว่าเชียงรายเขต 6 เป็นพื้นที่ห่างไกล ภูมิประเทศเป็นป่าเขาโดยส่วนมาก ด้วยความจำกัดของทรัพยากรและงบประมาณ เราจึงตั้งใจจะใช้การเดินเท้า โดยตั้งใจจะเดินให้ครบทุกหมู่บ้านในเขต 6 จำนวน 186 หมู่บ้าน สุดท้ายออกมาเป็นการเดินเฉลี่ยวันละ 10 กิโล เราอยากให้ทุกคนมองเห็นและพุดคุยกับเราได้

“เวลาจัดสรรอะไรดูจากสิ่งที่มีก่อน งบประมาณมีน้อย เราก็ต้องใช้งบอย่างคุ้มค่า เราเลยใช้การเดินเท้าเอา ทีมงานทุกคนมาด้วยอุดมการณ์เดียวกัน ทำงานกันด้วยใจ บางคนทิ้งงานลางานมารับค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาทก็ทำ เวลาลงไปในพื้นที่ถามชาวบ้านว่าบ้านผู้ใหญ่ไปทางไหน ชาวบ้านเขาชี้ไปบนยอดเขาเราก็ต้องเดินไป เวลาเดินอยู่ เขาตะโกนทักมาจากอีกฝั่งของภูเขาเราก็เดินข้ามไปคุย เราอยากคุยกับทุกคน”นายพีรเดชกล่าว

ด้านนายณัฐชา ระบุว่าเขตบางขุนเทียนนี้เป็นเขตที่ตนเป็นคนนอกพื้นที่ แถมตนยังไม่เคยทำงานทางการเมือง ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด เคยมีโอกาสได้ปรึกษากับหัวหน้าพรรคว่าทำแบบนี้ดีหรือไม่ หัวหน้าพรรคให้แรงบันดาลใจมาสั้นๆ ว่านึกทำอะไรได้ให้ลงมือทำเลย อย่าไปคิดเยอะ ตนจึงเริ่มลงมือทำ มีการวางแผนพื้นที่ วางแผนองค์กร วางแผนตารางงานอย่างเข้มข้น แบ่งกันลงเดินให้ครบทุกพื้นที่ นำเสนอสิ่งใหม่ๆ และชี้ปัญหาของสิ่งที่เป็นมาให้ทุกคนเห็น

“การทำงานในพื้นที่ที่คู่แข่งชนะมาตลอดติดต่อกันหลายสมัย เป็นสิ่งที่ยากลำบากและเหนื่อยมาก การหาเสียงทุกพื้นที่มีความแตกต่างไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่ผมได้เป็นแรงบันดาลใจมาจากหัวหน้าพรรค คือความคิดที่ว่าเราคิดอะไรได้ก็ลงมือทำเลย”นายณัฐชากล่าว