posttoday

ศาลสั่งยึดทรัพย์ทักษิณ4.6หมื่นล้านผิด 5 ข้อหา

26 กุมภาพันธ์ 2553

องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาฯพิพากษายึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ 46,373ล้านบาท และตกเป็นของแผ่นดิน ด้านทนายทักษิณเตรียมหารือยื่นอุทธรณ์ 2 มี.ค.นี้

องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาฯพิพากษายึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ 46,373ล้านบาท และตกเป็นของแผ่นดิน ด้านทนายทักษิณเตรียมหารือยื่นอุทธรณ์ 2 มี.ค.นี้

เมื่อเวลา 21 .45 น. ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำสั่งยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยชี้ให้เห็นว่า คุณหญิงพจมาน มีส่วนเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจและการแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกับพ.ต.ท.ทักษิณตลอดมา โดยผลประโยชน์จากการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปมาจากการปฏิบัติหน้าที่มิชอบ จึงไม่อาจอ้างว่าเป็นสินสมรส จึงมีอำนาจสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินได้ด้วยตามกฎหมาย ปปช. การยึดทรัพย์ทำใด้ 2 กรณี คือทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นผิดปกติ กับกรณีร่ำรวยผิดปกติโดยได้ทรัพย์สินมาไม่สมควร

ศาลเห็นว่า กรณีนี้เข้าข่ายร่ำรวยผิดปกติโดยเป็นทรัพย์สินไม่สมควร และให้ยึดทรัพย์โดยอิงราคาหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น ที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ.2544 ซึ่งเป็นวันที่พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯบวกดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 46,373,687,454.74 บาท

ทั้งนี้องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาฯมีมติเสียงข้างมากชี้ว่าพ.ต.ท.ทักษิณมีความผิด 5 กรณีโดยศาลเห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่นายกฯ โดยชัดแจ้ง 2 กรณี คือ แปลงค่าสัญญาสัมปทาน อีกกรณีคือ การให้วงเงินสินเชื่อแก่ประเทศพม่า ส่วนอีก 3 กรณี ลดอัตราส่วนแบ่งรายได้โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบพรีเพด กรณีการแก้ไขสัญญาการใช้อนุญาตเครือข่ายร่วมและกรณีดาวเทียมไอพีสตาร์ พ.ต.ท.ทักษิณกำกับดูแลในฐานะนายกฯ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจทางอ้อม

สำหรับคำวินิจฉัยขององค์คณะผู้พิพากษามีประเด็นสรุปดังนี้

1. องค์คณะผู้พิพากษาได้มีมติเอกฉันท์ให้ศาลฎีกาฯมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดียึดทรัพย์

2. องค์คณะผู้พิพากษามีมติเอกฉันท์ให้อัยการมีอำนาจในการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาฯให้พิจารณาคดียึดทรัพย์

3. องค์คณะผู้พิพากษามีมติเอกฉันท์ว่าการใช้อำนาจของ คตส. และ ปปช. เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย

4. องค์คณะผู้พิพากษามีมติเอกฉันท์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณอำพรางหุ้นในชื่อบุคคลอื่นระหว่างที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

5. องค์คณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมาก ว่า พ.ต.ท.ทักษิณใช้อำนาจหน้าที่ระหว่างเป็นนายกรัฐมนตรี ตรากฎหมาย ออกมติคณะรัฐมนตรีแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตทำให้รัฐเสียหาย และ เป็นการกีดกันผู้ประกอบการโทรคมนาคมรายใหม่

6. องค์คณะผู้พิพากษามีมติด้วยเสียงข้างมาก ว่า  การแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (PREPAID CARD) เอื้อประโยชน์ให้ แก่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส (เอไอเอส )

7. องค์คณะผู้พิพากษามีมติด้วยเสียงข้างมาก ว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีส่วนในแก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม (ROAMING) และกรณีการปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายรวม เป็นการเอื้อประโยชน์แก่บริษัทเอไอเอส แต่เนื่องจากมีการขายหุ้นชินคอร์ปให้แก่เทมาเส็กเมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2549 แล้ว ทำให้ผู้ได้รับประโยชน์จากการลดอัตราการใช้เครือข่ายร่วมไม่ใช่พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เป็นกลุ่มเทมาเส็ก

8. องค์คณะผู้พิพากษามีมติด้วยเสียงข้างมาก ว่า ละเว้น อนุมัติ ส่งเสริม สนับสนุนธุรกิจดาวเทียมตามสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศโดยมิชอบหลายกรณี ได้แก่ การอนุมัติโครงการดาวเทียมไอพี สตาร์ เป็นการเอื้อประโยชน์กับบริษัท ชินคอร์ปฯ และบริษัท ชินแซทฯ เนื่องจากเป็นดาวเทียมดวงใหม่ ไม่ใช่ดาวเทียมสำรอง ซึ่งขัดสัญญาที่พ.ต.ท.ทักษิณทำไว้กับรัฐตั้งแต่ยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกฯ

9. องค์คณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมาก ว่า การลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทชินแซทฯของบริษัท ชินคอร์ปฯ เอื้อประโยชน์ให้พ.ต.ท.ทักษิณ เนื่องจากตามสัญญาเดิมบริษัทชินคอร์ปฯต้องถือหุ้นในบริษัทชินแซทฯไม่ต่ำกว่า 50% แต่ได้มีการเสนอขอให้มีการลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปฯ ซึ่งนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ ในขณะนั้นไม่เห็นด้วย แต่นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในขณะนั้นกลับอนุมัติให้มีการแก้ไขสัญญา ส่งผลให้มีการลดสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปเหลือเพียง 11% ทำให้บริษัทชินคอร์ปไม่ต้องมีการระดมทุนเพิ่ม

นอกจากนี้ดาวเทียมไทยคม3 ได้เกิดความเสียหายทำให้ได้รับเงินค่าประกันจำนวน 6.7ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีเงื่อนไขว่าเอกชนจะต้องซ่อมแซมดาวเทียมก่อนจึงจะมาเบิกเงินได้ แต่เอกชนกลับไปเบิกเงินโดยไม่ผ่านรัฐรวมทั้งมีการเพิ่มส่วนต่าง ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อรัฐและเอื้อประโยชน์ให้บริษัทชินคอร์ปฯ

10. องค์คณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมากว่า การให้เงินกู้แก้ประเทศพม่าผ่านธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซ์ซิมแบงก์) เอื้อประโยชน์ต่อบริษัทชินคอร์ป เนื่องจากมีการเพิ่มวงเงินให้กู้จาก 3,000 ล้านบาทเป็น 4,000 ล้านบาทและมีการลดดอกเบี้ยจากอัตรา 5.75% เป็น 3% ต่อปีและปลอดหนี้ 5 ปี รวมทั้งจะต้องตั้งงบประมาณไปชดเชยการปล่อยกู้ครั้งนี้ นอกจากนี้ยังมีการผลักดันปฏิญญาพุกามให้บรรจุเรื่องโทรคมนาคมเข้าไปด้วย

นอกจากนั้นยังมีการให้ปากคำว่า ในการประชุมร่วมที่พม่าได้มีเจ้าหน้าที่ของบริษัทชินคอร์ปฯ รวมถึงนายพานทองแท้ ชินวัตร ได้เดินทางร่วมไปสาธิตการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ก่อนการประชุม และรัฐมนตรีต่างประเทศของพม่าต้องการให้บรรจุการช่วยเหลือด้านโทรคมนาคมด้วย

ทั้งนี้องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาฯ ได้ขึ้นนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาเมื่อเวลา 13.40 น.ที่ผ่านมา

ภายหลังจากที่ศาลฎีกาฯมีคำพิพากษา ทีมทนายความของครอบครัวชินวัตรก็ได้เดินทางกลับทันที โดย นายกิตติพร อรุณรัตน์ ทนายความของนายพานทองแท้และน.ส.พิณทองทา ชินวัตร กล่าวว่า ทีมทนายความจะหารือเรื่องการยื่นอุทธรณ์ในวันที่ 2 มี.ค.นี้ ซึ่งจะต้องมีการปรึกษาลูกความก่อนว่าจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่ก่อนที่ทีมทนายความจะหารือกันต่อไป

ด้านนายสิงห์ทอง บัวชุม หนึ่งในทีมทนายความของพ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ภายใน 30 วันนี้คาดว่าจะสามารถสรุปเรื่องการยื่นอุทธรณ์ได้ โดยส่วนตัวไม่แปลกใจกับคำพิพากษา ซึ่งคำพิพากษาที่ออกมาจะทำให้คนเสื้อแดงมีเหตุผลในการเคลื่อนไหวมากขึ้น

พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบน.1 กล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุ้มกันองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาฯ กลับสู่เซฟเฮาส์แล้ว ส่วนการรักษาความปลอดภัยบริเวณศาลฎีกาฯจะยังคงกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 กองร้อยไปจนถึงวันที่ 28 ก.พ. ทั้งนี้ยังไม่ได้รับรายงานเกี่ยวกับความรุนแรงโดยเฉพาะการชุมนุมของกลุ่มแดงสยามที่ท้องสนามหลวง ซึ่งการชุมนุมยังอยู่ในความปกติไม่มีแนวโน้มจะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง

ขบวนรถองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาฯเดินทางออกจากศาลภายหลังอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์

ภาพวีดีโอ : ทวีชัย ธวัชปกรณ์

 

 

ทนายเผยพจมาน-ครอบครัวไม่มาศาลฟังคำตัดสินที่บ้าน

ก่อนหน้านี้เมื่อเวลา 12.30 น. ทีมทนายความของครอบครัวชินวัตร ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา นำโดยนายฉัตรทิพย์ ตัณฑประศาสน์ ทนายความพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายกิตติพร อรุณรัตน์ ทนายความของนายพานทองแท้และนางสาวพิณทองทา ชินวัตร และนายสมพร พงษ์สุวรรณ ทนายความของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร โดยทั้งหมดให้สัมภาษณ์ว่า ที่ผ่านมาได้ต่อสู้อย่างเต็มที่แล้ว โดยวันนี้คุณหญิงพจมานและลูกๆ จะไม่เดินทางมาที่ศาลฎีกาแต่จะอยู่รับฟังคำพิพากษาที่บ้านพักแทน

"ที่ผ่านมาได้ต่อสู้ในกระบวนการของชั้นศาลอย่างเต็มที่ แต่คำพิพากษาจะออกมาอย่างไรต้องรอฟังจากศาล ส่วนในอนาคตจะมีการอุทธรณ์ใน 30 วัน ตามรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น จะต้องรอดูรายละเอียดของคำพิพากษาก่อน"ทีมทนาย พ.ต.ท.ทักษิณระบุ

นอกจากนี้คณะทำงานของอัยการสูงสุด ในฐานะเป็นโจทย์ฟ้องในคดีนำโดย นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายพิเศษ ได้เดินทางมาถึงศาลฎีกาแล้วเช่นกัน

ขณะที่การรักษาความปลอดภัยบริเวณพื้นที่ศาลฎีกายังเป็นไปอย่างเข้มงวด โดยมีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหญิงชายหลายร้อยนาย พร้อมทั้งมีการตรวจวัตถุต้องสงสัยในศาลฎีกาด้วย และมีการตรวจค้นร่างกายผู้เข้าออกศาลอย่างละเอียด คาดว่า ในเวลา 13.30 น. องคณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คน จะออกนั่งบัลลังค์เพื่ออ่านคำพิพากษา

ด้านนายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวภายหลังตรวจความเรียบร้อยในพื้นที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่า ไม่น่าจะมีเหตุการณ์อะไรรุนแรง เพราะเชื่อว่าคนไทยทุกคน จะได้ฟังเหตุผลในคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีนี้

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการรักษาความปลอดภัยเมื่อมีการพิพากษาแล้ว ก็ยังคงมีการรักษาความปลอดภัยอยู่ แต่จะมีการเพิ่มการรักษาความปลอดภัยของผู้พิพากษารายคนเพิ่มเติมด้วย

"ขณะนี้ทางศาลคงยังไม่มีการออกมาดำเนินการกับบุคคลที่ปล่อยข่าวเรื่องศาลรับสินบน เพราะจะต้องขอดูรายละเอียดข้อเท็จจริงก่อน  ไม่ใช่ศาลจะไปดำเนินการได้เลย ส่วนคำพิพากษาคาดว่าในสัปดาห์หน้าศาลฎีกาจะสามารถเผยแพร่คำพิพากษากลางและคำพิพากษาส่วนบุคคลได้"นายวิรัชกล่าว

ชมประมวลภาพวันตัดสินคดียึดทรัพย์คลิ๊กที่นี่

http://www.posttoday.com/รูปภาพ/12881/ประมวลภาพวันตัดสินคดียึดทรัพย์ทักษิณ

 

ข่าวล่าสุด

ตำรวจไซเบอร์-ทหาร ถกเข้มชายแดนสระแก้ว เตรียมรับคนไทยจากกัมพูชากลับบ้าน!