posttoday

เรียนรัฐศาสตร์จากวรรณคดีไทย (20)

11 กันยายน 2564

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

****************

ระบบไพร่ตั้งมั่นอยู่ได้ด้วยการสวามิภักดิ์ และพังทลายได้หากมีการแปรพักตร์

วันนี้อยากจะออกนอกเรื่องอีกสักครั้ง เพราะเพิ่งได้ไปออกรายการวิเคราะห์วิจารณ์การเมืองทางสถานีโทรทัศน์อินเตอร์เน็ตช่องหนึ่ง แล้วก็ทำให้นึกถึง “ระบบไพร่ในสังคมไทย” ที่ได้ใช้เรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นตัวแบบสำหรับวิเคราะห์อยู่ในบทความนี้ ว่าช่างมีลักษณะคล้ายกันกับเกมการเมืองในสัปดาห์ก่อน ที่เกิดความขัดแย้งกันในโครงสร้างอำนาจของรัฐบาล นั่นก็คือ “เกมล้มนายกฯ” ที่นักการเมือง เขากระทำต่อกัน

ท่านที่ติดตามข่าวสารการเมืองเกี่ยวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีกับรัฐมนตรีอีก5รัฐมนตรีร่วมคณะเมื่อสัปดาห์ก่อน คงจะพอทราบว่า แม้ว่านายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทั้ง 5 จะเอาตัวรอดไปได้ เพราะคะแนนไม่ไว้วางใจไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกในสภาผู้แทนราษฎร แต่ก็ได้สะท้อนว่ารัฐบาลกำลังมีปัญหา อย่างสำนวนไทยที่ว่า “สนิมเกิดแต่เนื้อในตน” เนื่องด้วยมีรัฐมนตรีบางคนในรัฐบาลและ เป็นเลขาธิการพรรค ของพรรคแกนนำในรัฐบาล ได้แสดงอำนาจเหนือนายกรัฐมนตรี เดินเกมหวังคว่ำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยการลอบบี้(บ้างก็เรียกว่า “แจกกล้วย”)ให้ ส.ส.จำนวนหนึ่งมาโหวตไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี เพียงแต่นายใหญ่ของ ส.ส.กลุ่มนี้ คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เกิดถอดใจ ทำให้แผนการรั่วไหล และ พล.อ.ประยุทธ์ แก้เกมได้ทัน ทั้งด้วยการปูดข่าวแผนร้ายของผู้ทรยศ และการ “เกทับ” เพื่อดึง ส.ส.งูเห่าพวกนั้นให้หยุดชะงัก แล้วก็เป็นชัยชนะของ พล.อ.ประยุทธ์ ดังที่ทราบกัน

เหตุการณ์นี้สะท้อนความจริงของการเมืองไทยว่า ยังถูกครอบงำด้วยระบบไพร่อยู่อย่างแน่นหนา รวมถึงสะท้อนอีกว่า ค่านิยมในเรื่อง “หน้าตา” ในสังคมไทยยังเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะแม้แต่นักการเมืองที่ร่ำรวยล้นฟ้า แม้จะมีเงินทองมากมาย ก็ยังรู้สึกไม่ถึงอกถึงใจ ยังอยากมีตำแหน่งที่ใหญ่โตขึ้น เพื่อให้มี “หน้าตา” ให้เป็นที่เชิดชูในสังคม คล้ายกันกับในสมัยขุนช้างขุนแผน ที่ขุนช้างแม้จะเป็นอภิมหาเศรษฐี แต่ก็ยังขวนขวายที่จะสร้างบารมีต่าง ๆ ถึงขั้นไปแย่งลูกเมียของเขา หรือทรยศต่อเพื่อน เพียงเพื่อจะให้เป็นที่ยอมรับว่าตนเองเป็น “ผู้ยิ่งใหญ่” ในสังคมนั้น

ถ้าเป็นไปตาม “ทฤษฎีหน้าตา” เส้นทางการเมืองของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็ดูจะเป็นไปตามแนวทางนั้น เพราะได้ใช้ความพยายามอย่างมากที่จะเอาตัวรอดในรัฐสภาและรัฐบาล ทั้งจากความพยายามของหลาย ๆ คนที่พยายามจะกระชากหน้ากากและปูมหลังของ “ผู้กองตุ๋ย” ในอาชญากรรมบางอย่างในอดีต ไม่เฉพาะแต่ในเรื่อง “ค้าแป้งไปออสเตรเลีย” แต่ยังรวมถึงรสนิยมทางเพศส่วนตัวนั้นด้วย ทำให้นักการเมืองคนนี้ต้อง “แก้ภาพลักษณ์” ด้วยการพยายามทำตัวให้เป็นที่ใกล้ชิดของผู้ใหญ่ แล้วถีบตัวขึ้นมาเป็นนักการเมืองแนวหน้า จนสามารถขึ้นสู่ตำแหน่งเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐได้ในที่สุด

แต่ว่าด้วยตำแหน่งเลขาธิการพรรคนี้ พรรคในระดับรอง ๆ ลงไป ทั้งพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้ตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาลคือเป็นถึงรัฐมนตรีว่าการด้วยกันทั้งสิ้น มีเพียงตัวเขาที่เป็นเลขาธิการพรรคที่ใหญ่ที่สุดในรัฐบาล แต่ยังมีตำแหน่งเป็นแค่รัฐมนตรีช่วยว่าการ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่คนไทยอย่างเขายอมรับไม่ได้ เพราะเรื่องหน้าตาเป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุดของคนไทยนั่นเอง โมหะเช่นนี้ จึงนำไปสู่โลภะ คือหลงเชื่อเมามายว่าหน้าตาสำคัญ ก็เกิดความกระหายในตำแหน่งที่สูงขึ้น จนทำให้เกิดโทสะคือความคลั่งแค้น คิดจะเอาตำแหน่งนั้นมาให้ได้ แม้จะต้องทรยศหักหลังหรือทำในสิ่งที่คนปกติเขาไม่ทำกันนั้นจนได้

ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ตอนสมัยที่เป็นนายกรัฐมนตรีใน พ.ศ. 2518 ก็เคยเจอนักการเมืองประเภทนี้มาแล้ว ตอนที่ตั้งรัฐบาลหลังได้รับคะแนนโหวตรับนโยบายของรัฐบาล บรรดาพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลทั้งหลายก็พูดเป็นประโยคเดียวกันว่า “แล้วแต่ท่านนายกฯ” คือจะจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีอย่างไรก็ได้ แต่พอผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ก็เริ่มมีเสียงกระเง้ากระงอดบ่นว่าได้ตำแหน่งไม่เหมาะสม

อยากเปลี่ยนกระทรวงให้สมกับฐานะของตน บางคนก็อ้างว่าได้จ่ายเงินเอา ส.ส. เข้ามาได้เป็นจำนวนมาก ทั้งยังต้องเลี้ยงดูคือจ่ายเงินอุปถัมภ์ ส.ส.เหล่านั้นอยู่ตลอด จำเป็นจะต้องหารายได้มาจุนเจือ ส.ส.เหล่านั้น รวมทั้งที่จะต้องเตรียม “เสบียงกรัง” ไว้สำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป ที่ก็จำเป็นจะต้องมีเงินทองอย่างพอเพียง ทั้งที่จะเอาไว้รักษา ส.ส.เดิมให้อยู่ร่วมกันต่อไป และที่จะต้องเอาไป “ซื้อ” หรือกวาดต้อน ส.ส.และผู้สมัครคนใหม่ ๆ เข้ามา

ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เล่าว่า ทุกเช้าจะมี ส.ส.มาพบบ้าน บอกว่าจะมาขอเป็นรัฐมนตรี บางคนเอาจดหมายของรัฐมนตรีคนที่มีตำแหน่งอยู่แล้ว ที่เขียนบอกว่าจะสลับเก้าอี้ให้กับ ส.ส.คนนี้ในอีก 2 เดือนข้างหน้า บางคนก็ขอเอาดื้อ ๆ ว่า อยากเป็นมากเพื่อเกียรติยศชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล และตลอดเวลาที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่นั้นก็มีข่าวว่า ส.ส.จะแปรพรรคอยู่ตลอดเวลา

และด้วยสภาพที่รัฐบาลชุดนั้นมีพรรคการเมืองต่าง ๆ มาร่วมกันหลายพรรค ซึ่งสื่อมวลชนเรียกว่า “รัฐบาลสหพรรค” ทำให้นายกรัฐมนตรีต้องเอาใจทุกพรรคจนไม่เป็นตัวของตัวเอง จนเกิดสภาพ “จับปูใส่กระด้ง” ที่นายกรัฐมนตรีคึกฤทธิ์ ต้องปวดหัวเป็นอย่างมาก ที่สุดก็มีข่าวถึงขนาดว่า มี ส.ส.จำนวนหนึ่งของพรรคร่วมรัฐบาลจับมือกันที่จะล้มรัฐบาล

ทั้งยังมีข่าวด้วยว่างานนี้มีนายทหารใหญ่ที่กุมกำลังสำคัญในกองทัพอยู่เบื้องหลัง ถึงขั้นมีการฟอร์มทีมรัฐบาลใหม่ ที่รวมถึงข่าวการทำรัฐประหารจากทหารนั้นด้วย ดังนั้นเมื่อท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ตรวจสอบข่าวเป็นที่ชัดเจนแล้ว ก็นัดหมาย ส.ส.ของพรรคร่วมรัฐบาลมากินเลี้ยงส่งท้ายปีเก่า ก่อนที่จะสิ้นปี 2518 เพื่อเช็คเสียงสนับสนุน ปรากฏว่ามี ส.ส.หายไปหลายคน และแล้วพอผ่านพ้นปีไปใหม่ได้ไม่กี่วัน รัฐบาลก็ประกาศยุบสภาให้มีการเลือกตั้งกันใหม่

ในความเชื่อของนักวิเคราะห์บางคนที่ผู้เขียนได้เคยสนทนาด้วย เขาบอกว่างานนี้(คือกรณี ส.ส.คิดล้มนายกฯประยุทธ์)ตัวพล.อ.ประยุทธ์ อาจจะทรยศต่อ ส.ส.ก่อนก็ได้ เพราะท่านอาจจะเคยรับปากว่าจะ ส.ส.อย่างโน้นอย่างนี้ แต่ท่านก็คงไม่ได้ทำเอง คงจะให้รัฐมนตรีคนอื่นหรือ “สปอนเซอร์” มาช่วยกันดูแล แต่ก็ไม่ได้ดูแลให้ดีตามที่รับปาก ส.ส.เหล่านั้นไว้ ซึ่งทราบว่าเมื่อครั้งที่ปรับคณะรัฐมนตรี “คณะสี่กุมาร” ออกไป ก็ด้วยเหตุผลเรื่องนี้

แต่ครั้งคุณธรรมนัสขึ้นมาคุม ส.ส.เอง ก็คงจะพยายามดูแล ส.ส.ทั้งหลายอย่างเต็มที่ แต่ด้วยตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ไม่สามารถจะ “เจือจาน” แจกจ่ายอะไรให้ใครได้เท่าใดนัก จึงคิดที่จะได้ตำแหน่งที่พอเมหาะพอสม แต่บังเอิญคือกระทรวงมหาดไทย ที่เป็นทั้งหัวใจของรัฐบาลและกล่องดวงใจของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่มี “พี่กลาง” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ครอบครองอยู่ ทำให้ของสูงที่ ร.อ.ธรรมนัส หมายปองนั้น กลายเป็น “แห้ว” ทั้งยังอาจจะเป็นแห้วที่กำลังจะออกฤทธิ์ฆ่าคนกินนี้ต่อไปอีกด้วย

ผู้เขียนถามท่านนักวิเคราะห์คนนั้นต่อไปว่า ทำไมจึงเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ หักหลัง ร.อ.ธรรมนัสก่อน เขาก็ตอบว่า ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้รับปากว่าจะให้กระทรวงใหญ่กับ ร.อ.ธรรมนัส ไฉนเลยที่ ร.อ.ธรรมนัส จะบังอาจคิดอะไรที่เกินตัวแบบนั้น ซึ่ง ร.อ.ธรรมนัส ก็คงจะทุ่มเทเพื่อการนี้ไปมากโข จนน่าจะใกล้สิ้นเนื้อประกาตัว แต่ที่ ร.อ.ธรรมนัส รู้สึกแย่จนบ้าคลั่งนี้ ก็คือ “เสียหน้า” ที่ ร.อ.ธรรมนัส ก็คงไปรับปาก ส.ส.ต่าง ๆ ไว้เช่นเดียวกัน แต่พอไปทวงถาม พล.อ.ประยุทธ์ ก็คงจะบ่ายเบี่ยง ไม่เป็นไปตามที่เคยรับปาก ร.อ.ธรรมนัส จึงคลั่งแค้นจนหน้ามืดตามัว ทำอะไร “โง่ ๆ” อย่างที่เป็นข่าวเมื่อสัปดาห์ก่อนนั้น

ยังจำได้ไหมใครที่บอกว่า “เราจะทำตามสัญญาขอเวลาอีกไม่นาน” แต่นี่ย่างเข้าปีที่ 8 แล้ว ก็ยังทำอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน โดยเฉพาะการพัฒนาการเมืองไทยให้พ้นระบบไพร่ !

******************************