เปรียบเทียบการปฏิรูปการเมืองการปกครองญี่ปุ่น-ไทย (ตอนที่ยี่สิบหก): “สงคราม: ความสุขในความเจ็บปวดและความตาย”
โดย...ไชยันต์ ไชยพร
********************
จากที่ผมได้นำเสนอความคิดของ “นักสู้” และ “สุภาพบุรุษ” สองตัวละครในเรื่อง “สามขี้เมาคุยการเมือง” (A Discourse by Three Drunkards on Government/ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2430) มีท่านผู้อ่านที่ใช้ชื่อในเฟสบุ๊คว่า Tan Moving ให้ความเห็นว่า “ไม่น่าเชื่อเขียนเมื่อ 134 ปีมาแล้ว แต่เหมือนยังเป็นโจทย์ 2 โจทย์ที่ยังพลิกแพลงปะทะ ทะลุข้ามมิติ”
โจทย์ 2 โจทย์ที่ว่านี้ก็คือ ระหว่างให้ประเทศยึดมั่นบนหลักการเสรีนิยมประชาธิปไตยและต่อต้านสงครามโดยใช้สันติวิธีและความอารยะเข้ารับมือกับการสงครามและการใช้กำลังความรุนแรงที่เกิดจากประเทศอื่น กับ ความเชื่อที่ว่าเราต้องยอมรับว่า ความก้าวร้าวและความต้องเอาชนะและอยู่เหนือผู้อื่นเป็นธรรมชาติของสัตว์ และมนุษย์ก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง เราไม่สามารถหลีกหนีความจริงในตัวเราได้ ไม่มีประเทศใดที่มีอารยธรรมยิ่งใหญ่ที่จะไม่ทำสงครามและเป็นผู้ชนะ ที่สำคัญคือ ความก้าวหน้าทางอารยธรรมกับความก้าวหน้าทางการทหารไม่เคยแยกออกจากกันได้
จุดยืนแรกเป็นจุดยืนของ “สุภาพบุรุษ” ส่วนอันหลังเป็นของ “นักสู้”
“นักสู้” ได้กล่าวถึง “รัสเซีย (ในปี พ.ศ. 2430) ในฐานะที่เป็นประเทศที่มีดินแดนกว้างใหญ่ไพศาลและมีกองกำลังทหารกว่าล้านคน และด้วยกองกำลังทหารขนาดนั้น รัสเซียสามารถที่จะกลืนกินตุรกี เกาหลีและเยอรมนีได้ และบดขยี้ฝรั่งเศสและพร้อมที่จะขยายอำนาจมาสู่เอเชีย ส่วนฝรั่งเศสที่มีกำลังทหารพอฟัดพอเหวี่ยง ก็พยายามจะเอาคืนจากเยอรมนี และไม่นานมานี้ก็สามารถบุกเข้าไปถึงอันนัม (เวียดนาม) สำหรับอังกฤษ ที่มีแสนยานุภาพกองทัพเรืออันยิ่งใหญ่ ก็มีอาณานิคมไปทั่วทั้งโลก และถ้าจะกล่าวถึงอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ของเหล่าประเทศในยุโรป เราจะพบว่า ประเทศมหาอำนาจเหล่านี้ต่างก็จะทำสงครามแผ่ขยายอำนาจอิทธิพลของตนไปทั่ว พร้อมๆกับกล่าวอ้างหลักการอันประเสริฐของภูมิปัญญาสมัยใหม่ (the Enlightenment) อ้างเสรีภาพ ความเสมอภาคและเสรีประชาธิปไตย
รัสเซีย อังกฤษ เยอรมนีและฝรั่งเศสต่างพร้อมที่จะเดินหน้าขยายอำนาจทันทีเมื่อมีโอกาส สถานการณ์แบบนี้มันอันตรายไม่ต่างจากมีลูกระเบิดที่กำลังกลิ้งไปกับพื้น ทันที่ที่มันระเบิด ทหารนับล้านๆจะย้ำเท้าลงบนผืนแผ่นดินทั่วยุโรป และเรือรบนับพันๆจะรุกล้ำเข้าไปทางทะเลในทวีปเอเชีย
นักสู้กล่าวเตือน “สุภาพบุรุษ” ว่า การยึดติดอยู่กับความคิดแคบๆภายใต้อุดมคติเสรีภาพและความเสมอภาค หรือพยายามแสดงอารมณ์ความรู้สึกภราดรภาพที่มวลมนุษย์ทั้งโลกต่างเป็นพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ในช่วงเวลาและสถานการณ์แบบนี้ ก็ไม่ต่างจากคำแนะนำของลูเชิฟู (Lu Xiufu) ต่อพระจักรพรรดิ ที่นำมาซึ่งการสิ้นสุดของราชวงศ์ซ่งของจีน
เพราะโดยแท้จริงแล้ว มนุษย์ทุกคนล้วนมีความสุขกับการได้เอาชนะ ไม่ว่าจะเขาจะทำอาชีพอะไร พ่อค้ามีความสุขจากการเอาชนะคู่แข่งในตลาดการค้า มีความรู้สึกกับการได้กำไร ชาวนามีความสุขกับการเอาชนะดินฟ้าอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยและสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ และแม้กระทั่งนักปรัชญาหรือนักวิชาการ ก็มีความสุขกับการใช้ตรรกะและการใช้เหตุผลเพื่อกำจัดความคิดที่ผิดพลาด ความคิดที่ไม่มีเหตุผล ตรรกะและการใช้เหตุผลเปรียบได้กับอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้เพื่อชนะศึกสงครามของนักปรัชญา และนักปรัชญา/นักวิชาการจะมีความสุขกับการจัดข้อมูลให้เป็นระบบและสามารถบริหารจัดการหรือควบคุมสาระสำคัญของสิ่งที่เขาศึกษา ซึ่งจริงๆแล้ว ก็คือ การมีความสุขกับการมีปัญญาเหนือกว่าหรือเชี่ยวชาญกว่าคนอื่นๆ และเช่นเดียวกัน ประเทศชาติก็มีความสุขจากการได้อยู่เหนือประเทศอื่นๆ
“นักสู้” เห็นว่า “สุภาพบุรุษ” หมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ว่าสงครามเป็นสิ่งไม่พึงปรารถนา และวาดภาพความทุกข์ระทมของเหล่าทหารที่ต้องเผชิญกับสายฝนและอากาศที่ร้อนหนาว และเชื่อว่าทหารเหล่านั้นกำลังตกอยู่ในความทุกข์ยากแสนสาหัส คำถามคือ จริงหรือที่ทหารเหล่านั้นทุกข์ทรมาน ?
สงครามต้องการผู้กล้า ความกล้าต้องการจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ เมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้น ผู้คนจะมีอาการเหมือนบ้าคลั่ง จิตวิญญาณจะถึงขีดสุดของความฮึกเหิม และพวกเขาจะมองโลกต่างจากที่เคยมอง และความรู้สึกกลัวความเจ็บปวดแทบจะไม่หลงเหลืออยู่ พวกเขาอยากที่จะออกศึกเป็นคนแรก และถ้าเขามีชีวิตรอดกลับมา เขาจะกลายเป็นคนที่กล้าหาญที่สุดในกองทัพ และถ้าเขาตาย ชื่อของเขาก็จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ และนี่ความสุขของทหาร และมันเป็นความสุขอันยิ่งใหญ่….”
ข้อความที่ว่า “รัสเซีย อังกฤษ เยอรมนีและฝรั่งเศสต่างพร้อมที่จะเดินหน้าขยายอำนาจทันทีเมื่อมีโอกาส สถานการณ์แบบนี้อันตรายไม่ต่างจากการมีลูกระเบิดหลายลูกที่กำลังกลิ้งไปกับพื้น ทันที่ที่มันระเบิด ทหารนับล้านๆจะย้ำเท้าลงบนผืนแผ่นดินทั่วยุโรป เรือรบนับพันๆจะรุกล้ำเข้าไปทางทะเลในทวีปเอเชีย”
“นักสู้” ได้กล่าวไว้ในปี พ.ศ. 2430 หรือ ค.ศ. 1887
และสิ่งที่เขากล่าวนี้ ก็เป็นจริง เพราะต่อมาอีก 27 ปี ยุโรปก็เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ขณะเดียวกัน สิ่งที่เขากล่าวถึง ความสุขของทหารหาญที่ฮึกเหิมที่จะเข้าสงคราม อยากจะเป็นวีรบุรุษหากเขารอดตายกลับมาบ้านได้ หรือมีความสุขที่จะเดินเข้าสู่ความตาย เพราะเขาก็จะได้เป็นวีรบุรุษที่ชื่อได้รับการจารึกในประวัติศาสตร์หรือบนฐานอนุสาวรีย์ ก็ดูจะเป็นความจริงเช่นกัน !
เพราะในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เด็กๆและคนญี่ปุ่นต่างพากันร้องเพลงที่ชื่อว่า “Umi yukaba” (ข้าออกไปทะเล) Umi yukaba ถือเป็นเพลงชาติที่สองของคนญี่ปุ่นในสมัยนั้นก็ว่าได้ เป็นเพลงปลุกใจรักชาติ เนื้อเพลงมาจากร้อยกรองโบราณอย่างหนึ่งที่เรียกว่า “Choka” โดยผู้แต่งคือ Otomo no Yakamochi กวีผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่แปด เขาเป็นทั้งรัฐบุรุษและกวี
ข้อความบางตอนในบทกวีได้ถูกนำมาเรียบเรียงและใส่ทำนองดนตรีสมัยใหม่ ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่อลังการ ฮึกเหิมและเคร่งขรึมเนื้อร้องมีดังนี้
Umi yukaba / Mizuku kabane /At sea be my body water-soaked, 行かば水漬く屍 /
Yama yukaba / Kusa musu On land be it with grass overgrown. 山行かば草生す屍 /
kabane/ Let me die by the side of my 大君の / 辺にこそ死な
Okimi no / he ni koso shiname /Sovereign! め /
Kaerimi wa seji Never will I look back.[3] かえりみは / せじ
แต่บางสำนวนก็แปลต่างกันบ้างนิดหน่อย เช่น
If I go to the sea, I shall be a corpse washed up,
If I go away to the mountain, I shall be a corpse in the grass,
But if I die for the Emperor,
It will not be a regret.
พูดง่ายๆก็คือ คนญี่ปุ่นที่ร้องนี้ กำลังบอกตัวเองและพี่น้องร่วมชาติว่า เขาพร้อมที่จะตายในศึกสงคราม ไม่ว่าจะเป็นทะเลหรือภูผา แม้ร่างของเขาจะถูกทะเลกัดเซาะจนเปื่อยยุ่ย หรือจะกลายเป็นผุยผงบนดินหญ้า เขาจะไม่เสียใจเลยสักครา หากเขาได้พลีชีพเพื่อองค์จักรพรรดิ
อารมณ์คงไม่ต่างไปจากเพลง “ความฝันอันสูงสุด” ของเราเท่าไรนัก เพียงแต่เนื้อเพลงของเราไม่ได้เน้นพลีชีพเพื่อองค์พระมหากษัตริย์เท่ากับพลีชีพเพื่อชาติ เพื่อพี่น้องประชาชน
ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ ขอสู่ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว
ขอทนทุกข์รุกโรมโหมกายใจ ขอฝ่าฟันผองภัยด้วยใจทะนง
จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง
จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา
ไม่ท้อถอยคอยสร้างสิ่งที่ควร ไม่เรรวนพะว้าพะวังคิดกังขา
ไม่เคืองแค้นน้อยใจในโชคชะตา ไม่เสียดายชีวาถ้าสิ้นไป
นี่คือปณิธานที่หาญมุ่ง หมายผดุงยุติธรรม์อันสดใส
ถึงทนทุกข์ทรมานนานเท่าใด ยังมั่นใจรักชาติองอาจครัน
โลกมนุษย์ย่อมจะดีกว่านี้แน่ เพราะมีผู้ไม่ยอมแพ้แม้ถูกหยัน
คงยืนหยัดสู้ไปใฝ่ประจัญ ยอมอาสัญก็เพราะปองเทิดผองไทย
แม้ว่าเนื้อเพลงจะเน้นความรักชาติและการปกป้องพี่น้องและผืนแผ่นดินไทย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เพลงนี้ให้ความรู้สึกผูกพันต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย
เพราะเพลงนี้มีที่มาจากพระราชดำริในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มีพระราชประสงค์จะพระราชทานกำลังใจให้แก่บรรดาข้าราชการทหาร ตำรวจและพลเรือน มิให้ท้อถอยในการปฏิบัติหน้าที่ต่อชาติ บ้านเมือง จึงมีพระราชเสาวนีย์ให้ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค เขียนคำกลอนเตือนใจแล้วพิมพ์แจกเหล่าข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และพลเรือน ต่อมาทรงกราบบังคมทูลขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานทำนองเพลง “ความฝันอันสูงสุด” จึงเป็นเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรกที่มีการเขียนคำร้องก่อน แล้วทรงใส่ทำนองภายหลังเพลงนี้พระราชทานให้
ขณะเดียวกัน เป้าหมายของ Umi yukaba อาจจะต่างจาก “ความฝันอันสูงสุด”
Umi yukaba ถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1937 ในบริบทที่กำลังเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นเป็นฝ่ายรุกรานประเทศอื่น เพลง “ความฝันอันสูงสุด” ถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2514 ภายใต้บริบทสงครามเย็น ไทยอยู่ในสถานะที่จะต้องปกป้องผืนแผ่นดินมากกว่าจะไปรุกรานใคร !
เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามในปี ค.ศ. 1945 กองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรที่เข้ายึดครองญี่ปุ่นได้ประกาศห้ามเปิดและร้องเพลง Umi Yukaba แต่หลังจากที่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ถอนกำลังออกจากญี่ปุ่น Umi Yukaba ก็ได้กลับมาเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในแวดวงทหาร และมักจะมีการร้องและบรรเลงเพลงในกองกำลังปกป้องตนเองของญี่ปุ่น
ก็ให้น่าคิดเหมือนกันกับการดำรงอยู่และความนิยมของเพลง “ความฝันอันสูงสุด” กับการพลิกผันทางการเมืองของไทย ?! ใครจะลองฟังเพลง Umi Yukaba ขอเชิญที่ https://www.youtube.com/watch?v=wj4eIZek3Zk