posttoday

หลากหลายแนวคิดและแนวทางเรื่องวัคซีนโควิด-19 (17)

02 มิถุนายน 2564

โดย...น.พ.วิชัย โชควิวัฒน

*************

ในอดีต การพัฒนาวัคซีนจนสำเร็จใช้เวลาค่อนข้างยาวนาน วัคซีนชนิดแรกคือวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษ ซึ่งมีปะวัติการพัฒนาขึ้นใช้ในจีนสมัยราชวงศ์หมิง ต่อมามีการพัฒนาขึ้นในอียิปต์ ตุรกี และเปอร์เซีย ซึ่งเป็นวัคซีนที่สามารถป้องกันโรคได้ แต่ค่อนข้างอันตราย เพราะทำจากสะเก็ดหนองฝีของผู้ป่วยโรคไข้ทรพิษโดยตรง วัคซีนที่พัฒนาอย่างเป็น “วิทยาศาสตร์” คิดค้นขึ้นโดยนายแพทย์เอดเวิร์ด เจนเนอร์ ซึ่งเป็นแพทย์ชนบทในอังกฤษ สังเกตเห็นหญิงชาวบ้านที่รีดนมวัว เป็น “ฝีดาษวัว” (Cow pox) แล้ว มักไม่ป่วยเป็นไข้ทรพิษ (Small pox) จึงทดลองนำวัคซีนจาก “หนองฝีวัว” ทดลอง “ปลูกฝี” ให้แก่ลูกคนสวนวัย 8 ขวบ เมื่อ พ.ศ. 2359

เอดเวิร์ด เจนเนอร์ เป็น “แพทย์ชนบท” ในเมืองเล็กๆ แต่สนใจวิชาการ มีการตั้งชมรมแพทย์ พบปะและประชุมวิชาการกันเป็นประจำในโรงแรมแห่งหนึ่ง ทำให้มีการ “พัฒนาวิชาการ” และมีการ “ตีพิมพ์” รายงานการทดลองวัคซีนในวงวิชาการแพทย์ของอังกฤษ ทำให้มีการพัฒนาวัคซีนให้มีประสิทธศักย์ (Efficacy) และความปลอดภัย (Safety) มากขึ้นเรื่อยๆ และนำมาใช้จนสามารถใช้เป็นอาวุธสำคัญในการกวาดล้าง (Eradication) ไข้ทรพิษจนหมดไปจากโลกได้สำเร็จ

วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ใช้เวลาราว 20 ปี กว่าจะได้วัคซีนออกมาใช้ และมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง วัคซีนที่ใช้เวลาสั้นที่สุดในการพัฒนาจนสำเร็จคือวัคซีนป้องกันโรคคางทูม ก็ใช้เวลาราว 4 ปี

โรคคางทูมเป็นโรคติดต่อ แต่ไม่เป็นโรคร้ายแรง (Serious) และไม่แพร่ระบาดอย่างกว้างขวาง ระยะเวลา 4 ปี ที่ใช้ในการพัฒนาวัคซีนจึงถือว่าไม่นานเกินไป แต่โควิด-19 เป็นโรคระบาดร้ายแรง แพร่ระบาดอย่างกว้างขวางทั่วโลกในเวลาอันรวดเร็ว คล้ายคลึงกับไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish flu) จึงมีความจำเป็นต้องเร่งรัดพัฒนาวัคซีนให้สำเร็จโดยเร็ว

อันที่จริง ไวรัสโคโรนา เข้ามาก่อโรคในมนุษย์แล้วถึง 6 ชนิด 4 ชนิดแรกทำให้เกิด “ไข้หวัด” ธรรมดา ไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่ อาการไม่รุนแรงมาก จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องวิจัยและพัฒนาวัคซีนขึ้นมาไว้ป้องกัน ไวรัสโคโรนาอีก 2 ชนิด ทำให้เกิดโรคร้ายแรงในมนุษย์ คือ โรคซาร์ส (SARS) ซึ่งย่อมาจาก “กลุ่มอาการระบบหายใจเฉียบพลันรุนแรง” (Severe Acute Respiratory Syndrome) ซึ่งมีความร้ายแรง เพราะทำให้อัตราป่วย-ตาย สูงเกือบ 10%

โรคนี้ระบาดเมื่อ พ.ศ. 2545-2546 และสงบไปเอง ทำให้ไม่สามารถพัฒนาวัคซีนขึ้นมาใช้ได้ เพราะเมื่อไม่มีการระบาด ก็ไม่มี “ประชากร” ให้ “วิจัย” หรือ “ทดสอบ” ในมนุษย์ได้ ต่อมามีโรคจากไวรัสโคโรนาอีกชนิดหนึ่ง คือ เมอร์ส (MERS) ซึ่งย่อมาจาก “กลุ่มอาการระบบหายใจตะวันออกกลาง” (Middle East Respiratory Syndrome) ซึ่งมีความร้ายแรงยิ่งกว่าโรคซาร์ส เพราะมีอัตราป่วย-ตาย สูงถึง 37% แต่โรคก็หยุดการแพร่ระบาด ทำให้ไม่สามารถพัฒนาวัคซีนออกมาได้เช่นกัน

แต่สำหรับโควิด-19 วงวิชาการ องค์กรสนับสนุนการวิจัย และธุรกิจยาตลอดจนหน่วยงานควบคุมยา สามารถร่วมมือกันเร่งรัด วิจัย พัฒนา ผลิต และกระจายวัคซีนจนสำเร็จอย่างน่าทึ่ง เป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่อย่างแท้จริงของการดำเนินการเรื่องวัคซีนได้รวดเร็วที่สุดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน นับตั้งแต่มีการพบ “ผู้ป่วยหมายเลข 0” (Patient Zero) ซึ่งถือเป็นจุดตั้งต้นของการระบาด จนมีผู้ได้รับวัคซีนเข็มแรก ใช้เวลาเพียง 1 ปีพอดี โดยมีลำดับเหตุการณ์ ดังนี้

8 ธันวาคม 2562 พบผู้ป่วยหมายเลขศูนย์

31 ธันวาคม 2562 องค์การอนามัยโลกรับรายงานและประกาศแจ้งชาวโลก

8 มกราคม 2563 จีนพบเชื้อต้นเหตุว่าเป็นไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

11 มกราคม 2563 รายงานการพบลำดับพันธุกรรมในธนาคารพันธุกรรมโลก

8 พฤศจิกายน 2563 รายงานผลการวิเคราะห์ระหว่างทาง (Interim analysis) ของการวิจัยและพัฒนาวัคซีน ของบริษัทไบโอเอนเทคร่วมกับบริษัทไฟเซอร์ว่าวัคซีนมีประสิทธิศักย์ 94-95%

2 ธันวาคม 2563 อย. สหราชอาณาจักรรับขึ้นทะเบียนวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของไบโอเอนเทค-ไฟเซอร์ ให้ใช้ได้กรณีฉุกเฉิน (Emergency Use Authorization)

8 ธันวาคม 2563 มาร์กาเร็ต “แม็กกี้” คีแนน (Margaret “Maggie” Keenan) หญิงชราวัย 90 ปี จากเมืองเฟอร์มานาจ (Fermanagh) ได้รับวัคซีนเข็มแรกของโลก ในอังกฤษ

การรับวัคซีนเข็มแรกของคุณย่ามาร์กาเร็ต คีแนน นับเป็นบุคคลแรกของโลกที่ได้รับวัคซีน “นอกการวิจัยทางคลินิก” (Outside a clinical trial) จึงมีการเก็บ “ของสำคัญ” เข้าไว้ในพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ (The Science Museum) ในกรุงลอนดอน คือ ขวด (vial) และกระบอกฉีดยา (sysinge) ที่ใช้ฉีด

นับถึงวันที่ 20 ธันวาคม 2563 ประชาชนและผู้พำนัก (Residents) ในสหราชอาณาจักรได้รับวัคซีนตาม “แผนวัคซีนแห่งชาติ” รวม 521,594 เข็ม โดย 70% เป็นประชากรอายุ 80 ปีขึ้นไป เป็นหลักฐานว่าวัคซีนนี้มีความปลอดภัยสูงมาก สามารถให้แก่คนชรา ซึ่งถือว่าเป็นประชากร “กลุ่มเปราะบาง” (Vulnerable group) ทั้งๆ ที่เป็นวัคซีนที่วิจัยและพัฒนาขึ้นโดย “แนวคิด” (Concept) และเทคโนโลยีที่ใหม่สุด คือใช้สารพันธุกรรมสายเดี่ยวชนิดเมสเซนเจอร์อาร์เอนเอ (Messenger RNA : mRNA) ที่นำมาจาก “โปรตีนส่วนหนาม” (Spike Protein : sProtein) ของไวรัสโคโรนา เป็นตัวเข้าไปกระตุ้นร่างกายมนุษย์ให้สร้างภูมิคุ้มกัน

วัคซีนชนิดนี้ ไม่เพียงเป็นวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่วิจัยและพัฒนาจนสำเร็จเท่านั้น แต่เป็นวัคซีนที่สร้างจากเมสเซนเจอร์อาร์เอนเอชนิดแรกของโลกที่ อย. ของประเทศเจริญแล้วอย่างสหราชอาณาจักรรับขึ้นทะเบียนและอนุญาตให้ใช้ได้ และทางการอังกฤษก็ “กล้าหาญ” ฉีดให้แก่คนชราอายุถึง 90 ปี เป็นคนแรก และฉีดให้แก่คนชราต่อๆ มาอีกนับแสนคน โดยไม่พบ “อันตราย” ร้ายแรงจากวัคซีน แม้มีคน “แพ้รุนแรง” จากวัคซีนบ้าง โดยเฉพาะในคนที่มีประวัติ “แพ้รุนแรง” (Anaphylaxis) แต่ก็สามารถแก้ไขได้

หลังจากสหราชอาณาจักรได้รับขึ้นทะเบียนวัคซีนเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2563 บาห์เรน เป็นประเทศที่ 2 ที่รับขึ้นทะเบียนวัคซีนนี้ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2563 สหรัฐอเมริกาขึ้นทะเบียนเมื่อ 11 ธันวาคม 2563 และมีประเทศต่างๆ ทยอยรับขึ้นทะเบียนในเวลาใกล้เคียงกัน ได้แก่ แคนาดา (9 ธันวาคม 2563) ซาอุดิอาระเบีย (10 ธันวาคม 2563) เม็กซิโก (12 ธันวาคม 2563) คูเวต (13 ธันวาคม 2563) สิงคโปร์ (14 ธันวาคม 2563) จอร์แดน (15 ธันวาคม 2563) โอมาน (15 ธันวาคม 2563) ปานามา (15 ธันวาคม 2563) ชิลี (16 ธันวาคม 2563) อาร์เจนตินา (25 ธันวาคม 2563) อิรัก (27 ธันวาคม 2563) อิสราเอล (28 ธันวาคม 2563) ฟิลิปปินส์ (14 มกราคม 2564) ออสเตรเลีย (25 มกราคม 2564) เป็นต้น

การขึ้นทะเบียนวัคซีนเพื่อใช้กรณีฉุกเฉินของประเทศต่างๆ เหล่านี้ เป็นการดำเนินการ “เชิงรุก” เพื่อให้สามารถนำวัคซีนมาใช้เป็นเครื่องมือควบคุมการระบาดของโรคโดยรวดเร็ว ประเทศไทยในเวลานั้น แม้พบการระบาดระลอกใหม่ในช่วงเดือนธันวาคม 2563 แต่ยังไม่แสดงความกระตือรือล้นในเรื่องวัคซีน ยังดำเนินการในลักษณะ “ตั้งรับ” มาอีกเป็นเวลาแรมเดือน จนเกิดการระบาดระลอก 3 เมื่อเดือนเมษายน 2564 แล้ว วัคซีนนี้ก็ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนในประเทศไทย

การที่หน่วยวิจัย ผู้สนับสนุนการวิจัย ธุรกิจยา องค์กรควบคุมยา และผู้เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการจนสามารถฉีดวัคซีนเข็มแรกให้แก่ประชาชนทั่วไป หลังจากพบจุดตั้งต้นของการระบาดในเวลาเพียง 1 ปี พอดี เป็นเรื่อง “มหัศจรรย์” ที่ควรเรียนรู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเป็นความสำเร็จจากฝืมือมนุษย์ทั้งสิ้น มิใช่การดลบันดาลของสิ่งศักดิ์สิทธิใดๆ

**********************