posttoday

ไทยกับทางเลือก

28 มกราคม 2564

โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์

****************

การเปลียนประธานาธิบดีในสหรัฐจากโดนัลด์ ทรัมป์ เป็น โจ ไบเดน แม้ว่าเป็นกิจการภายในของสหรัฐ แต่การปรับเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ย่อมมีผลกระทบต่อโลกไม่มากก็น้อย เพราะสหรัฐเป็นอภิมหาอำนาจอันดับหนึงของโลก ที่มีผลประโยชน์อยู่ทั่วโลก ที่ไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศอื่น การเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในสหรัฐย่อมอยู่ในความสนใจของประเทศอื่น รวมทั้งประเทศไทย ที่จะต้องปรับเปลี่ยนตนเองไม่ให้ผลประโยชน์ของตนได้รับความเสียหาย

มีคำกล่าวว่า เมื่อสหรัฐจาม ก็สะเทือนไปทั่วโลก แม้เพียงสหรัฐขยับตัว ก็สะเทือนไปทั้งโลก

เพราะฉะนั้น ที่บอกว่า สหรัฐก็อยู่ส่วนสหรัฐ ไทยก็อยู่ส่วนไทย ไม่เกี่ยวกัน เป็นการพูดที่ขัดกับความจริงโดยสิ้นเชิง เพราะความจริงก็คือ เมื่อสหรัฐมีผู้นำคนใหม่ ก็ย่อมมีนโยบายใหม่ไม่มากก็น้อย คนตัวใหญ่ย่อมถือเอาประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้ง ส่วนคนตัวเล็กก็ต้องปรับตัวเองเพื่อหาที่ยืนที่เหมาะสม ไม่ให้ถูกเบียดจนตกขอบ และคอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เข้าตัว

ไม่แปลกใจเมื่อประธานาธิบดีคนใหม่ โจ ไบเดน ประกาศว่า จีนเป็นภัยคุกคามของสหรัฐ เพราะจีนกำลังท้าทายความเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของสหรัฐ คนอเมริกันถูกสอนให้คิดและเชื่อตลอดมาว่า ในโลกนี้ สหรัฐต้องเป็นหนึ่ง ใครจะมาแย่งแชมป์ไปไม่ได้

ไม่ว่าจะเป็นสหภาพโซเวียตซึ่งต่อมาเรียกว่า รัสเซีย ภายใต้การนำของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ที่เวลานี้ไม่อยู่ในสถานะจะท้าทายพลังอำนาจของสหรัฐได้ เมือผู้นำสหรัฐมีข้อตกลงนิวเคลียกับรัสเซีย ความกังวลต่อรัสเซียก็ผ่อนคลายลง ตรงกันข้ามกับจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ที่กำลังมาแรงแซงโค้งในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และยังแรงไม่ตก

แต่กรณีของจีนนั้นแตกต่างกัน เพราะพลังอำนาจที่จีนท้าทายสหรัฐ ไม่ใช่เรื่องอาวุธซึ่งยังเป็นรองสหรัฐ แต่กลายเป็นพลังอำนาจทางเศรษฐกิจ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วจนจ่อคอหอยสหรัฐ บางอย่างอาจล้ำหน้าสหรัฐไปด้วยซ้ำ การพัฒนาการของ 5 จี.ที่ต่อไปโลกทั้งหมดจะต้องใช้ 5 จี. เท่ากับจีนเจาะหัวใจสหรัฐด้านเทคโนโลยีได้แล้ว

ทีนี้ก็มาถึงคำถามว่า เมื่อโจ ไบเดน ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ เขาจะวางน้ำหนักไว้ที่ตรงไหน อะไรเป็นความจำเป็นเร่งด่วนอันดับต้น ๆ และมีนโยบายใดบ้างที่จะกระทบต่อผลประโยชน์ของไทย ที่เราต้องเตรียมตัวรับมือ

โจ ไบเดน จะมองปัญหาภายในมากขึ้น ปัญหาใหญ่เฉพาะหน้าที่โจ ไบเดน ต้องรีบทำก่อน โดยให้ความสำคัญในลำดับต้น ๆ คือ

(1)ความสมานฉันท์ของคนอเมริกัน ไม่ให้มี “รัฐสีแดง” และ “รัฐสีน้ำเงิน” หรือยังมีความรู้สึกค้างคากันอยู่ระหว่างพรรครีปับลิกัน และพรรคดีโมแครต ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ปลุกระดมถึงขนาดแฟนคลับบุกรัฐสภาอเมริกัน ที่ทำให้ประชาธิปไตยอเมริกันที่สหรัฐอ้างเป็นผู้นำตลอดถูกวิจารณ์ยับจากทั่วโลก โจ ไบเดนจะเป็นประธานาธิบดีของคนอเมริกันทั้งประเทศ ไม่ใช่ประธานาธิบดีของดีโมแครตเท่านั้น

(2)สำคัญกว่านั้นและเร่งด่วนไม่แพ้กัน คือ แก้ปัญหาการแพร่ระบาดโควิด 19 ที่คนอเมริกันติดเชื้อโควิด 19 มากที่สุดในโลก ตายมากที่สุดหรืออยู่ในลำดับต้น ๆ ของโลก ถือว่าขายหน้าไปทั้งโลก ทั้งที่ใครก็ว่าการแพทย์ของอเมริกันก้าวหน้ามากที่สุด ทำอย่างไรจะให้คนอเมริกันให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาโควิด 19 เท่ากับสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล

(3)ในด้านต่างประเทศ โจ ไบเดน จะให้ความสำคัญในการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพันธมิตรดั้งเดิมทั้งใน นาโต แคนาดา ตะวันออกกลาง เอเชีย สหรัฐจะฟื้นฟูบทบาทนำของตนในองค์การระหว่างประเทศมากขึ้น จากที่ทรัมป์ลดบทบาทในสี่ปีที่ผ่านมา ฟื้นฟู รวมทั้งพยายามขยาย จี.7 เป็น จี.11 โดยจะนำเอาออสเตรเลีย อินเดีย และเกาหลีใต้ (พันธมิตรต่อต้านจีน) มารวมด้วย

(4)สหรัฐถือว่าจีนเป็นภัยคุกคามเฉพาะหน้า ที่ท้าทายอิทธิพลของสหรัฐโดยเฉพาะความก้าวหน้าด้านการค้า การลงทุน ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี ( ไม่ให้ความสำคัญกับอิหร่าน เกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นภัยคุกคามด้านก่อการร้ายและรัฐนิวเคลียใหม่ เช่นก่อน ) เมื่อสหรัฐประกาศว่าจีนเป็นภัยคุกคามอันดับแรก สหรัฐจะกลับเข้ามาและให้ความสำคัญต่อภูมิภาคเอเชียมากขึ้น แต่โจ ไบเดน น่าจะ “เปิดหน้าชน” กับจีนน้อยกว่าทรัมป์

(5)สหรัฐจะให้ความสนใจต่อการฟื้นฟูการควบคุมเส้นทางเดินเรือในยามสันติและยามสงครามในแปซิฟิคและมหาสมุทรอินเดีย และโฟกัสมาที่ทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญทั้งในยามสันติและยามสงคราม อินเดียเป็นตัวแปรที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะอาเซียนและเอเชียใต้เป็นตลาดที่ใหญ่มาก

(6)เมื่อเป็นเช่นนี้ ไทยและอาเซียนจะถูกสหรัฐดึงเข้ามาเพื่อต่อต้านการขยายอิทธิพลของจีนในภูมิภาค อย่างหนึ่งที่ต้องยอมรับ คือ อาเซียนทุกประเทศมีการค้าขายใกล้ชิดกับจีน แม้แต่ออสเตรเลียซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐ ก็มีจีนเป็นคู่ค้าสำคัญ

(7)ในอนาคต หากสหรัฐและจีนเผชิญหน้ากันอย่างรุนแรง ไทยต้องมีทางเลือก เพราะนี่ไม่ใช่ “สงครามเย็น” ทีไทยจะต้องตามก้นอเมริกันตลอด (ในขณะที่อเมริกันไม่เคยซื่อกับมิตรใกล้ชิดเลย) ดังนั้น ไทยต้องมีทางเลือกและต้องปรับตัว ด้วยการสร้าง “มูลค่าเพิ่ม” ให้กับตัวเองโดยเฉพาะการร่วมมือกับ “อาเซียน” ซึ่งมีศักยภาพมากแต่เคลื่อนตัวช้า ขึ้นอยู่กับว่า เราจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้เราได้มากน้อยเพียงใด ไทยต้องหาจุดขาย ขายให้จีนไม่ได้ก็ไปขายฝรั่ง ขายฝรั่งไม่ได้ก็ไปขายให้จีน

(8)หลังจากโควิด 19 โลกจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และคงมีหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป เราต้องอ่านเกมให้ออก และเตรียมตัวว่าจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในหลายอย่างที่จะเกิดขึ้นหลังโควิด

อย่าลืมว่า ไทยเรามีของดีหลายอย่าง จุดแข็งของไทยซึ่งขึ้นกับลักษณะนิสัยของคนไทย คือ ไทยเป็นมิตรกับทุกประเทศ ไทยไม่มีนโยบายที่ก้าวร้าวรุนแรง ไทยเป็นครัวโลก หลังโควิด ไทยจะถูกยกย่องให้เป็น “เมดิคัล ฮับ” สำคัญ เพราะประสบความสำเร็จในการควบคุมการแพร่กระจายของโควิด 19 ไทยตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ในความขัดแย้งระหว่างสหรัฐกับจีน ซึ่งไม่ต้องการผลักไทยให้ไปอยู่อีกข้างอย่างเต็มตัว และไทยก็ไม่อยากทำเช่นนั้น

(9)ไทยเคยมีประสบการณ์กับผู้นำพรรคดีโมแครตมาแล้ว โดยเฉพาะการกล่าวหาไทยในเรื่อง ความเป็น “ประชาธิปไตย” และ “สิทธิมนุษยชน” แต่เวลานี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน คงไม่มีเวลามากล่าวหาว่าไทยไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะเวลานี้ เขาคงต้องตอบคำถามของโลกว่าด้วยประชาธิปไตยในอเมริกา ซึ่งอ้างว่าเป็นต้นแบบของประชาธิปไตยโลกที่กำลังทรุดโทรมลงทุกที รวมทั้งกล่าวหาไทยในประเด็นสิทธิมนุษยชน เช่นที่ ฮิลลารี่ คลินตัน เคยทำมา

อีกทั้งเวลานี้ อเมริกากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาเร่งด่วนทั้งในและนอกประเทศ ควรแก้ปัญหาตัวเองให้ได้ก่อน แล้วค่อยไปแส่กับเรื่องของคนอื่น

***************