posttoday

ความในใจของอาจารย์รัฐศาสตร์คนหนึ่ง

22 สิงหาคม 2563

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

****************

วันนี้ขอเขียนเรื่องของตัวเองบ้าง ว่ารู้สึกอย่างไรต่อบ้านเมืองตอนนี้

มหาวิทยาลัยที่ผู้เขียนทำงานอยู่มีอาจารย์ประมาณ 400 กว่าคน ในปี 2538 ที่มีการชุมนุมขับไล่อธิการบดีเป็นครั้งแรก มีแกนนำประมาณ 4-5 คน และมีแนวร่วมอีกประมาณ20กว่าคน ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นพวกอาจารย์ทั้งสิ้น ที่สุดก็ขับไล่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งอีก4 ปีต่อมา ในความพยายามที่จะขับไล่อธิการบดีเป็นครั้งที่ 2 ก็มีแนวร่วมเพิ่มขึ้นจากข้าราชการและลูกจ้างในกลุ่มบุคลากรอื่นๆ รวมแล้วนับพันคน ในจำนวนบุคลากรทั้งหมดของมหาวิทยาลัย 2,000 คนเศษ ซึ่งครั้งนี้การขับไล่ประสบความสำเร็จ

จากการวิเคราะห์ปัจจัยที่นำมาสู่ชัยชนะในครั้งนั้น พบว่าเป็นเพราะ “การบ่มเพาะความเบื่อหน่าย” จากปี 2538 ที่เป็นการจุดประกายให้สังคมในมหาวิทยาลัยเห็นว่า มีความ “เน่าเฟะ” อย่างไรในการบริหารงาน แต่ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่เห็นคล้อยตามด้วย จนเมื่อได้ปล่อยให้เหตุการณ์ของความเน่าเฟะนั้นเกิดต่อเนื่องมาอีกระยะหนึ่ง โดยที่ผู้บริหารไม่ได้ปรับตัวหรือแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยความลำพองว่า “พวกเอ็งทำอะไรข้าไม่ได้หรอก” ที่สุดผู้คนก็เริ่มมองเห็นปัญหาร่วมกัน แล้วเกิดพลังร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งนำมาสู่ความสำเร็จในการขับไล่ในอีก 4ปีต่อมานั้น

เช่นเดียวกันกับการต่อสู้ของนักศึกษาปัญญาชนในเหตุการณ์วันที่ 14 ต.ค.2516 ที่มี “การบ่มเพาะความเบื่อหน่าย” มานับสิบปี โดยเชื่อกันว่ามีจุดเริ่มต้นจากการที่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เดินชบวนต่อต้านการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 ก.พ.2500 ที่ได้ชื่อว่าเป็นการเลือกตั้ง “ครั้งที่สกปรกที่สุด”

แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นก็ตามมาด้วยการทำรัฐประหารของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แล้วสร้างระบอบ “นายทุนขุนศึก” (ระบอบที่ทหารสร้างพยายามฐานอำนาจในทางธุรกิจ รวมถึงความพยายามที่จะสืบทอดอำนาจไปสู่ลูกหลานและบริวารทั้งหลายนั้นด้วย) ซึ่งก็ได้รับการต่อต้านจาก “คนรุ่นใหม่” ในยุคนั้น

โดยการบรรยายโจมตีระบอบเผด็จการแบบนี้ในรั้วมหาวิทยาลัย กระจายไปถึงการชำแหละ “ความเหลวแหลก” ของระบบราชการ ที่เอารัดเอาเปรียบและกดขี่ประชาชน (จะเรียกว่าเป็น “กระบวนการปลดแอก” ที่เกิดขึ้นในยุคนั้นก็ได้) จนมาถึงยุคจอมพลถนอม กิตติขจร ที่มีความพยามที่จะครอบงำรัฐสภาผ่านรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2511โดย “ทำที” ว่าเป็นประชาธิปไตยด้วยการเลือกตั้งในปี 2512 แต่ก็ต้องทำการรัฐประหารตนเองในอีก 2 ปีต่อมา ด้วยปัญหาคุมสภาผู้แทนราษฎรไม่อยู่ จากนั้นระบอบทหารก็ถูกชำแหละออกมาเรื่อยๆ ผ่านกระบวนการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย จนกระทั่งนำมาซึ่งการเรียกร้องรัฐธรรมนูญในปี 2516 ที่จบลงด้วยการสิ้นสุดอำนาจของกลุ่มเผด็จการทหาร “ถนอม – ประภาส – ณรงค์” ในวันที่ 14ต.ค.2516 นั้น

เมื่อมามองม็อบประชาชนปลดแอกในครั้งนี้ ผู้เขียนก็เชื่อกันว่าเกิดจากการบ่มเพาะความเบื่อหน่ายที่มีต่อทหารคณะนี้มาหลายปีแล้ว อย่างน้อยก็ตั้งแต่ที่ทหารคณะนี้ทำการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 ซึ่งในช่วงนั้นเยาวชนที่กำลังออกมาประท้วงในช่วงนี้น่าจะกำลังเรียนอยู่ในชั้นมัธยม ร่วมกับเยาวชนหลายๆ คนที่เป็นแกนนำก็กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย จึงเป็นการเชื่อมโยงของ “คนร่วมสมัย” ในความรู้สึกเบื่อหน่ายเกลียดชังรัฐบาลนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยได้รอจน พระราชพิธีพระบรมศพของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ให้ผ่านไปเสียก่อน

จนกระทั่งมีการเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค.2562 ที่กลุ่มคนรุ่นใหม่เหล่านี้รู้สึกเหมือนว่า “ถูกตบหน้า” และเสียความรู้สึกอย่างแรง ด้วยกระบวนการกลั่นแกล้งและกีดกันทุกวิถีทางมี่จะไม่ให้พรรคการเมืองในกลุ่มของพวกเขาได้เข้ามาอยู่ในวงจรอำนาจทางการเมือง แม้กระทั่งที่คณะทหารกลุ่มนี้ได้กระทำต่อพรรคของคนรุ่นใหม่ จึงเป็นการท้าทายต่อกระแสความรู้สึกของกลุ่มเยาวชน และนำมาซึ่งการต่อต้านระบอบทหารและลุกลามเป็นประเด็นเรียกร้องที่อันตรายอื่นๆ ตามมาในขณะนี้

มีหลายคนเป็นห่วงว่า ม็อบเยาวชนในครั้งนี้อาจจะจบลงแบบเหตุการณ์วันที่ 6 ต.ค.2519 คือมีการนองเลือดด้วยการเข้าล้อมปราบของฝ่ายรัฐ ซึ่งผู้เขียนอาจจะมีความเห็นแย้งว่าคงจะไม่เป็นไปในแบบนั้น แม้สภาพการณ์ของความขัดแย้งส่วนหนึ่งจะมีลักษณะคล้ายๆ กัน คือเป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่าง “พวกรักเจ้า” กับ “พวกล้มเจ้า”

แต่ด้วยปัจจัยในกองทัพและสถาบันพระมหากษัตริย์ในวันนี้กับเมื่อวันก่อนนั้น “แตกต่างกันมาก” ซึ่งผู้เขียนคงวิเคราะห์ได้แต่ในเฉพาะส่วนของกองทัพ นั่นก็คือกองทัพในยุคนี้น่าจะเปลี่ยนไปพอสมควรในเรื่องทัศนคติของกลุ่มทหารรุ่นใหม่ๆ ที่มีต่อบ้านเมือง ด้วยกระบวนการสื่อสารสมัยใหม่ที่แทรกซึมเข้าไปในความคิดของพวกเขา ในอดีตการที่เขาทุ่มเทเพื่อรักษาบางสิ่งบางอย่าง เป็นสิ่งที่สังคมส่วนใหญ่เห็นด้วย

ทั้งนี้ในสมัยก่อน ทหารระดับล่างที่หมายถึงกำลังพลส่วนใหญ่อาจจะถูกสื่อสารผ่านการบังคับบัญชาเพียงด้านเดียว ทำให้เวลาที่ถูกนำไปร่วมในการยึดอำนาจจึงมารู้ตัวในภายหลัง และไม่สวามารถจะขัดขืนคำสั่งของผู้บังคับบัญชาดังกล่าวได้ แต่ในสังคมยุคนี้ กระบวนการสื่อสารเปิดกว้างและชอนไชไปลึกซึ้งมาก จนมีความเชื่อกันว่าทหารในยุคนี้เริ่มมีความรู้สึกไม่ดีต่อการรัฐประหาร (เพียงเพื่อเป็นเครื่องมือของผู้มีอำนาจ) ทั้งนี้พวกเขาได้รับข้อมูลข่าวสารหลายด้าน ที่สำคัญพวกเขาก็พอที่จะแยกแยะได้ว่า “ถ้าเขาจะทำรัฐประหารในครั้งต่อไป พวกเขาควรจะทำเพื่อใคร”

เราได้เคยเห็นปรากฏการณ์ “ทหารแตงโม – ตำรวจมะเขือเทศ” คือทหารตำรวจที่เลือกข้างไปอยู่กับกลุ่มผู้ชุมนุมมาเมื่อไม่กี่ปีก่อนนี้มาแล้ว ซึ่งปรากฏการณ์แบบนั้นก็อาจจะเกิดขึ้นได้อีก แต่อาจจะเป็น “ทหารแตงขาว – ตำรวจแตงกวา” ที่ไม่กล้าที่จะทำร้ายนักเรียนและนิสิตนักศึกษา แต่ก็น่าคิดว่าถ้าเขาได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาว่า “ลงมือ” ก็น่าสนใจว่าเขาจะมีวิธีการในการหลบเลี่ยงคำสั่งนั้นอย่างไร

และปลายกระบอกปืนของพวกเขาจะชี้ไปที่หน้าอกของใคร ?

***********************

ข่าวล่าสุด

สรุป 5 เทรนด์ธุรกิจปี 2026 คู่มืออยู่รอดของคนทำมาค้าขาย