posttoday

การสิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสวีเดน (ตอนที่สี่) : การแย่งชิงบัลลังก์

02 กรกฎาคม 2563

โดย...ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร

*********************************

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดนต้องสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1718 มีสองประการคือ Charles XII พระมหากษัตริย์นักรบนำสวีเดนเข้าสู่สงครามอันยาวนานและลงเอยด้วยความสูญเสียใหญ่หลวง

ผู้คนพากันเบื่อหน่ายระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แต่ไม่ได้ปฏิเสธสถาบันพระมหา กษัตริย์ สาเหตุประการที่สองคือ Charles XII ทรงไม่มีพระราชโอรสและพระราชธิดา การสืบราชสันตติวงศ์ตามแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จึงต้องสะดุด และอำนาจในการตัดสินว่าผู้ใดจะขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ต่อไปจึงย้อนกลับไปที่รัฐสภา เพราะตามประเพณีการปกครองของสวีเดนที่เริ่มมาตั้งแต่ศตวรรษที่สิบสี่กำหนดไว้ว่า การกำหนดให้ผู้ใดสืบราชสันตติวงศ์เป็นอำนาจของรัฐสภา

ซึ่งประเพณีดังกล่าวนี้ได้สะดุดลงเมื่อสวีเดนเข้าสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในปี ค.ศ.1680 ในรัชสมัยของ Charles XI ที่พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจเหนือรัฐสภา และกำหนดให้การสืบราชสันตติวงศ์ไม่จำเป็นต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา แต่พระราชโอรสพระองค์โตของพระมหากษัตริย์จะขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์โดยทันที ดังนั้น เมื่อ Charles XII ไม่มีองค์รัชทายาท อำนาจการกำหนดตัวผู้สืบราชสันตติวงศ์จึงกลับมาที่รัฐสภา

การสิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสวีเดน (ตอนที่สี่) : การแย่งชิงบัลลังก์

ในสภาวะที่ราชบัลลังก์ว่างลงและไม่มีองค์รัชทายาทที่เป็นสายตรงของ Charles XII แน่นอนว่า ย่อมเกิดการเคลื่อนไหวในบรรดาบุคคลในพระบรมวงศานุวงศ์ที่จะมีสิทธิ์ในการสืบราชสันตติวงศ์ในลำดับถัดไป หนึ่งในนั้นคือ เจ้าหญิง อุลริจกะ เอเลียวนอรา (Ulrika Eleonora) ผู้ซึ่งเป็นพระราชธิดาพระองค์เล็กสุดของ Charles XI และเป็นพระขนิษฐภคินีของ Charles XII

พระองค์ได้ทรงอ้างสิทธิ์ในการขึ้นครองราชย์ต่อจากพระเชษฐาโดยทันที เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบเหนือ เจ้าชายชาร์ลส เฟรดริก (Charles Fredrik) พระโอรสของเจ้าหญิงเฮด์วิก โซเฟีย พระราชธิดาพระองค์โตของ Charles XI และเป็นพระเชษฐภคินีผู้ล่วงลับไปแล้วของทั้ง Charles XII และเจ้าหญิง Ulrika ทำให้ Charles Fredrik ทรงเป็นผู้มีสิทธิ์ตามสายโลหิตในการสืบราชบัลลังก์เช่นกัน

แต่ Charles Fredrik มีสถานะที่ได้เปรียบกว่า Ulrika Eleonora เมื่อพิจารณาตามกฎมณเฑียรบาลในเรื่องสถานะทางเพศ อีกทั้ง Charles Fredrik ยังเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ที่ Charles XII โปรดมากและเป็นพระโอรสของพระขนิษฐาที่พระองค์โปรดมากที่สุดด้วย

แต่เจ้าหญิง อุลริจกะ เอเลียวนอราก็ทรงยืนยันว่าพระองค์เป็นพระบรมวงศานุวงศ์ที่ยังทรงพระชนม์อยู่ที่มีสายพระโลหิตใกล้ชิดพระมหากษัตริย์พระองค์ก่อนมากที่สุด และทรงอ้างถึงกรณีที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นคือ กรณีของสมเด็จพระราชินีคริสตินา ที่ทรงขึ้นครองราชย์ (1632-1654) ด้วยเงื่อนไขที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือ สิทธิ์ของสตรีในการขึ้นครองราชบัลลังก์สวีเดนที่ได้รับการยอมรับมาตั้งแต่ the Norrkoping Agreement 1604

แต่กระนั้น “กฎมณเฑียรบาล” ดังกล่าวได้กำหนดให้เฉพาะเจ้าหญิงที่ไม่ยังไม่ได้เข้าพิธีเษกสมรสเท่านั้น แต่ Ulrika Eleonora ไม่เพียงจะเสกสมรสแล้ว และการเสกสมรสของพระองค์ก็ไม่ผ่านการปรึกษากับสภาฐานันดร อีกทั้งพระสวามีของพระองค์ Fredrick of Hesse ก็ไม่ได้ทรงนับถือศาสนาคริสต์นิกายลูเธอรันด้วย แต่นับถือคาลวินนิสม์

อย่างไรก็ตามในขณะที่ Charles XII ถูกยิงจนประชวรในสงครามจนถึงสิ้นพระชนม์กะทันหัน Fredrick ได้ทรงอยู่ใกล้ชิดกับกองทัพสวีเดนในสถานการณ์ดังกล่าว ด้วย Fredrick เป็นบุคคลที่เจ้าเล่ห์และทรงชั้นเชิงทางการเมือง พระองค์จึงทรงรีบดำเนินการส่งสารอย่างรวดเร็วไปถึง Ulrika Eleonora ที่สตอกโฮล์มโดยทันที และบุคคลที่ Fredrick เห็นว่าจะเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างยิ่งต่อการขึ้นครองราชบัลลังก์ของพระมเหสีของพระองค์คือ Baron Georg Henrik Gortz ผู้ซึ่งพระองค์ทรงมีความเกลียดชังอยู่ก่อนแล้ว

Gortz เป็นชาว Holsteiner และเป็นที่ปรึกษาที่สามารถและชาญฉลาดและมีอิทธิพลต่อการกำหนดตัวผู้ที่จะสืบราชสันตติวงศ์ เพราะ Gortz เป็นผู้ที่ใกล้ชิด Charles XII และได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่ในตำแหน่งที่เทียบได้กับ “นายกรัฐมนตรี” ในปัจจุบัน

อีกทั้ง Gortz ยังมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับ Charles Frederick แห่ง Holstein-Gottorp จากที่เขาเป็นชาว Holsteiner และ Charles Ferderick ทรงเป็นเจ้าชายแห่งแคว้นดังกล่าว และในช่วงก่อนที่ Charles XII จะเสด็จสวรรคต Görtz มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุน Charles Fredrik ให้ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์สวีเดนต่อจาก Charles XII ซึ่ง Charles XII ก็ได้ทรงให้ความไว้วางพระทัยต่อ Charles Fredrik ด้วย

นอกจากนี้ Görtz ยังได้ทำการเจรจาลับกับปีเตอร์มหาราชแห่งรัสเซีย เพื่อสนับสนุนการอ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์ของ Charles Fredrik รวมถึงเสนอให้ Charles Fredrik เสกสมรสกับพระราชธิดาของปีเตอร์มหาราชอีกด้วย และจากการสนับสนุนของ Gortz ที่เป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดของทั้ง Charles XII และทั้ง Charles Frederick กอปรกับสถานะของความเป็นเพศบุรุษของพระองค์ Charles Frederick จึงทรงเป็นพระบรมวงศานุวงศ์ที่มีสถานะความเป็นไปได้อย่างยิ่งในฐานะองค์รัชทายาทแห่งบัลลังก์สวีเดน ดังนั้น Fredrick จึงได้รีบดำเนินการกำจัด Gortz

หลังจากที่ Charles XII สิ้นพระชนม์กะทันหัน บรรดานายพลทั้งหลายได้ประชุมกันในสภาสงครามเพื่อจะตัดสินใจว่าจะยกระดับการปิดล้อมเมือง Fredrikshald Gortz ผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญสูงสุดและเป็นที่ปรึกษา Charles XII ได้กำลังเดินทางมายังศูนย์บัญชาการ และในการช่วงชิงการขึ้นสืบราชสันตติวงศ์ของทางฝ่าย Ulrika Eleonora Frederick ได้ทรงออกคำสั่งให้จับกุมตัว Gortz ไว้ ในข้อหาว่า ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธาใน Charles XII

อีกทั้ง Frederick ยังได้ทรงจัดสรรเงินให้กับบรรดานายทหารที่ทำหน้าที่ในสงครามเพื่อตัดช่องทางที่ Gortz จะเข้าถึงกองทัพและทำให้กองทัพอยู่ภายใต้พระองค์ และจากการจัดสรรเงินให้แก่กองทัพ ทำให้พระองค์ทรงได้การสนับสนุนจากบรรดานายพลทหารต่อการขึ้นครองราชย์ของ Ulrika Eleonora

ในส่วนของ Ulrika Eleonora จากการได้รับข่าวการเสด็จสวรรคตของ Charles XII อย่างรวดเร็วผ่านพระสวามีของพระองค์ ทำให้พระองค์สามารถออกพระองค์ได้เร็วในการกล่าวอ้างสิทธิ์ในบัลลังก์ของ Ulrika Eleonora ทำให้พระองค์มีสถานะที่ได้เปรียบ

กระนั้น พระองค์ก็ต้องทรงผิดหวัง เพราะพระองค์ไม่สามารถได้รับการยอมรับในสิทธิ์ทางสายโลหิตของพระองค์อย่างไม่มีข้อสงสัยกังขาใดๆ เพราะ Charles Frederick ผู้มีศักดิ์เป็นพระนัดดาของพระองค์เอง (ในฐานะหลานน้าสาว) และเป็นพระราชนัดดาของ Charles XII (ในฐานะหลานน้าชาย) ก็มีสิทธิ์ตามสายโลหิตด้วยเช่นกัน อีกทั้งตัวของพระองค์เองก็ยังมีพระสวามีแล้ว ซึ่งไม่ต้องตรงตามเกณฑ์ในกฎมณเฑียรบาล

ขณะเดียวกัน Charles Fredric ผู้มีสิทธิ์ในการสืบราชสันตติวงศ์ แม้ว่าขณะนั้นพระองค์จะทรงอยู่กับกองทัพก็ตาม แต่ด้วยพระองค์ยังทรงพระเยาว์และอ่อนประสบการณ์ และบุคลิกภาพไม่เข้มแข็งมั่นคง ทำให้มีผู้สนับสนุนน้อย พระองค์ได้สูญเสียความมั่นใจและเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเมื่อทราบข่าวการสวรรคตของ Charles XII ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า ความตื่นกลัวของพระองค์น่าจะรวมถึงการทราบข่าวการถูกจับกุมตัว Gortz ด้วย เพราะการจับกุมตัว Gortz แสดงให้เห็นว่า พระองค์กำลังทรงตกเป็นเป้าหมายสำหรับฝ่าย Ulrika Eleonora ในฐานะที่เป็นคู่แข่งในการชิงบัลลังก์

และจากสถานการณ์ดังกล่าวจึงทำให้พระองค์ไม่ทรงเคลื่อนไหวใดๆที่จะกล่าวอ้างสิทธิ์ในการสืบบัลลังก์อีกต่อไป

แต่อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า อำนาจในการตัดสินใจว่าจะให้ผู้ใดขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์สวีเดนพระองค์ต่อไปอยู่ที่รัฐสภา และการแก่งแย่งดังกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาที่จะครองบัลลังก์ของสมาชิกในพระบรมวงศานุวงศ์

การแก่งแย่งชิงหรือความปรารถนาในราชบัลลังก์นี้เองที่ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์สวีเดนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และกลับสร้างเงื่อนไขที่เปิดโอกาสให้ฝ่ายรัฐสภามีอำนาจต่อรอง และผู้ที่อยากได้ราชบัลลังก์มากที่สุดย่อมต้องถูกต่อรองมากที่สุด !

แล้วรัฐสภาได้วางเงื่อนไขอะไรและกับพระองค์ใด ? โปรดติดตามตอนต่อไป