posttoday

ส่องนโยบายรัฐบาล”บิ๊กตู่” พิธีกรรมก่อนบริหารชาติ

21 กรกฎาคม 2562

คำแถลงฉบับนี้เรียงร้อยถ้อยความสวยหรูแต่ยังประเมินไม่ได้จะทำตามที่หาเสียงได้หรือไม่

คำแถลงฉบับนี้เรียงร้อยถ้อยความสวยหรูแต่ยังประเมินไม่ได้จะทำตามที่หาเสียงได้หรือไม่

................

โดย โพสต์ทูเดย์เอ็กคลูซีฟ

คณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยสอง กำลังออกจากแท่นสตาร์ทบริหารบ้านเมืองอย่างเป็นทางการสักที ซึ่งตามกระบวนการรัฐธรรมนูญ พล.อ.ประยุทธ์ จะมีการแถลงนโยบายคณะรัฐมนตรีต่อที่ประชุมรัฐสภาในวันที่ 25 ก.ค.นี้

ล่าสุด รัฐบาลได้จัดพิม์หนังสือแถลงนโยบายของครม.ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีจำนวน 66 หน้า แบ่งเป็น 4 ส่วน ประกอบด้วย คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นผู้นำแถลงต่อที่ประชุมรัฐสภา

ส่วนที่สองเป็นนโยบายหลัก 12 ด้าน ส่วนที่สามนโยบายเร่งด่วน 12 เรื่อง ส่วนที่สี่ เป็นภาคผนวก อธิบายถึงการตรากฎหมมายเพื่อดำเนินการตามรัฐธรรมนูญหมวดการปฏิรูปประเทศ

พิจารณาจากนโยบายรัฐบาลฉบับดังกล่าว ให้ความสำคัญด้านการศึกษา ตั้งแต่จะมีการปรับปรุงงบประมาณสนับสนุนการศึกษาเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและการสูญเสียโอกาสทางการศึกษา พร้อมกับจะมีการปรับโครงสร้างหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา และทบทวนรูปแบบการให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาที่เหมาะสม ด้วย

ขณะเดียวกันมีการนำเสนอไว้ในนโยบายเร่งด่วน ว่า ต้องการผลิตบัณฑิตพันธุ์ใหม่ ให้ทันกับโลกยุคดิจิทัล ดังข้อความที่ว่า

“การเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 โดยสร้างแพลตฟอร์มการเรียนรู้ใหม่ ในระบบดิจิทัล ปรับปรุงรูปแบบการเรียนรู้มุ่งสู่ระบบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ด้านวิศวกรรม คณิตศาสตร์ โปรแกรมเมอร์ และภาษาต่างประเทศ ส่งเสริมการเรียน
ภาษาคอมพิวเตอร์ (Coding) ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา การพัฒนาโรงเรียนคุณภาพในทุกตำบล ส่งเสริมการพัฒนาหลักสูตรออนไลน์ของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ...”

ทั้งนี้ ยังสอดคล้องกับคำกล่าวของพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งอยู่ในส่วนแรกของถ้อยแถลงต่อที่ประชุมรัฐสภาว่า “เราจะร่วมกันสร้าง “การเติบโตเชิงคุณภาพ” ไม่ใช่ “การเติบโตเชิงปริมาณ”

พลิกดูนโยบายครม.ชุดนี้ นำไปเทียบเคียงกับนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆที่ร่วมรัฐบาล จะมีนำมาบรรจุไว้ในนโยบายฉบับนี้หรือไม่ พบว่า เป็นการเขียนไว้ชัดเจนบางเรื่องและไม่ชัดเจนบางเรื่อง เช่น กรณีที่พรรคพลังประชารัฐ ให้ความสำคัญบัตรวิเศษประชารัฐ ก็มีการระบุไว้ในนโยบายเร่งด่วนว่า

“จะมีการปรับปรุงระบบสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยปรับปรุงระบบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและเบี้ยยังชีพของประชาชน”

ส่วนกรณีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ที่พรรคการเมืองต่างๆ ประกาศเอาใจผู้ใช้แรงงานล่วงหน้า โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐเกทับขึ้นค่าแรงถึง 425 บาท ในนโยบายเล่มนี้ ระบุไว้กว้างๆว่า “ การยกระดับศักยภาพของแรงงาน โดยยกระดับรายได้ค่าแรงแรกเข้าและกลไกการปรับอัตราค่าจ้างที่สอดคล้องกับสมรรถนะแรงงานควบคู่กับการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานผ่านกลไกคณะกรรมการไตรภาคี เพื่อนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพแรงงาน ควบคู่ไปกับการกำกับดูแลราคาสินค้าไม่ให้กระทบกับค่าครองชีพของประชาชน”

หรือนโยบายแก้ไขรัฐธรรมนูญ แม้ก่อนหน้านี้ พรรคพลังประชารัฐไม่ได้แสดงจุดยืนที่จะแก้ไข มีเพียงพรรคประชาธิปัตย์และพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลบางพรรคแสดงท่าทีเพื่อเป็นเงื่อนไขในการร่วมรัฐบาล ทำให้การจัดทำนโยบายแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงจำเป็นต้องอยู่ในนโยบายเร่งด่วน

ทว่า พรรคร่วมรัฐบาลตกลงปลงใจให้กำหนดไว้ในข้อที่ 12 ซึ่งจัดลำดับไว้เป็นข้อสุดท้ายอีกต่างหาก พร้อมกับนำเสนอแบบกว้างๆเท่านั้น ว่า “สนับสนุนให้มีการศึกษา การรับฟังความเห็นของประชาชนและการดำเนินการเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะในส่วนที่ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ”

แม้นโยบายบางเรื่องกำหนดไว้กว้างๆ หรือ ไม่จำเป็นต้องบรรจุไว้ในหนังสือฉบับนี้ เช่น กรณีนโยบายกัญชาเพื่อการรักษาโรค ของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งต้องมีการนำเสนอต่อที่ประชุมครม.ในวาระอันใกล้นี้ โดยจะต้องมีการเสนอให้ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายกันอีกหลายฉบับ หรือนโยบายของพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลอื่นๆอีกที่ตกสำรวจ

นั่นอาจยังไม่สำคัญ เท่ากับ การใช้งบประมาณเพื่อบริหารนโยบายท้้งหมดทั้งปวง โดยพล.อ.ประยุทธ์ ใช้โอกาสนี้แถลงไว้ตอนท้ายด้วยว่า " ในช่วงการบริหารงานของรัฐบาลนี้ คาดว่างบประมาณอยู่ในระดับเฉลี่ยประมาณ 3.3 ล้านล้านบาทต่อปี  ในขณะที่รายได้จากภาษีของประเทศมีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องเร่งรัดพัฒนาระบบจัดเก็บภาษีของรัฐให้มีความครอบคลุมมากขึ้น มุ่งเน้นการขยายฐานภาษีและปรับโครงสร้างภาษีให้มีความเป็นธรรม..."

แสดงให้เห็นว่า การจัดเก็บภาษีอย่างเข้มข้นอาจเป็นความชัดเจนกว่าเรื่องอื่นๆ ก็เพื่อเติมเงินเข้ารัฐให้เพียงพอต่อการพัฒนาประเทศตามนโยบายต่างๆนั่นเอง !!! 

ฉนั้น การแถลงของพล.อ.ประยุทธ์ พร้อมกับเอกสารกว่า 66 หน้า โดยจะอ่านเรียงตามตัวอักษรไปเรื่อยๆให้ลื่นไหลยาวนานอย่างไรก็ตามแต่  อาจสะท้อนได้ถึงถ้อยคำที่ถูกนำมาเรียงร้อยเหล่านี้เป็นไปด้วยความสวยหรูแสดงเจตนาเน้น 12 ด้าน 12 เร่งด่วน ให้สำเร็จลุล่วงตามกระบวนการของรัฐธรรมนูญก่อนบริหารประเทศเท่านั้น

หลังจากนั้นขึ้นอยู่กับ"รัฐนาวาบิ๊กตู่" จะนำนโยบายแปลงไปสู่การปฏิบัติตามที่เคยสัญญาหาเสียงไว้อย่างไรบ้าง จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ จะล่มปากอ่าวหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องติดตาม