posttoday

เจาะลึกเส้นทาง"บิ๊กโจ๊ก"ก่อนถูกเด้ง

06 เมษายน 2562

วงการสีกากีรู้สึกช็อกไปตามกันกับคำสั่งสตช.สั่งเด้ง"บิ๊กโจ๊ก"พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม.ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำงานตำรวจแห่งชาติ

วงการสีกากีรู้สึกช็อกไปตามกันกับคำสั่งสตช.สั่งเด้ง"บิ๊กโจ๊ก"พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม.ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำงานตำรวจแห่งชาติ

ทีมข่าวโพสต์ทูเดย์ออนไลน์

วงการสีกากีรู้สึกช็อกไปตามกันกับคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เด้ง "บิ๊กโจ๊ก" พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งนี้เนื่องจากบิ๊กโจ๊กถือเป็นนายตำรวจที่ใกล้ชิดกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ซึ่งว่ากันว่าบิ๊กโจ๊กคือผู้มีอำนาจอย่างแท้จริงในวงการแต่งตั้งตำรวจในยุคนี้

เส้นทาง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ มีพื้นเพเป็นคนสงขลา บิดาเป็นนายตำรวจชั้นประทวนที่เคยทำงานใกล้ชิด พล.ต.ท.เสมอ ดามาพงศ์ อดีตผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ บิดา คุณหญิงอ้อ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

"บิ๊กโจ๊ก" เรียนมัธยมที่โรงเรียนมหาวชิราวุธ จ.สงขลา สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้ รุ่นที่ 31 เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 47 ด้วยบุคคลิกและปฏิสัมพันธ์ กับผู้คนรอบกาย กลายเป็นที่มาของฉายา “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ”

"ฉายาโจ๊ก หวานเจี๊ยบ น่าจะได้มาเพราะผมมีบุคลิกเป็นคน พูดจาเพราะจนได้รับฉายาดังกล่าว ซึ่งก็น่ารักดีครับ ไม่เสียหายอะไร เพราะเมื่อเป็นบุคคลสาธารณะการตั้งฉายาจึงเป็นเรื่องปกติ รับได้ทุกอย่างครับ"พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ระบุ

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เกิดเมื่อ วันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2513 จะมีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ในปี 2573 แต่เกิดหลังวันที่ 1 ตุลาคม ตามปฏิทินราชการจึงได้บวกเพิ่มอายุราชการอีก 1 ปี ไปเกษียณอายุราชการในปี 2574 นับจากวันนี้เหลืออายุราชการอีก 12 ปี

เส้นทางการเติบโตในอาชีพข้าราชการตำรวจ บิ๊กโจ๊ก เป็นรองสารวัตร ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2537 เป็นรองสารวัตรได้ 6 ปี 1 เดือน วันที่ 16 มีนาคม 2543 ขึ้นเป็นสารวัตร เป็นสารวัตรอยู่ 4 ปี 8 เดือน ก็ขยับเป็นรองผู้กำกับ เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2547 เป็นรองผู้กำกับการอยู่ 4 ปี ขยับเป็น ผู้กำกับ ติดยศ พ.ต.อ. เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2551 เป็นผู้กำกับการอยู่ได้ 4 ปี 1 เดือน ขึ้นเป็นรองผู้บังคับการ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2555

ทั้งนี้ บิ๊กโจ๊ก ได้เป็น รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา บ้านเกิด ซึ่งได้รับมอบหมาย ให้ทำหน้าที่ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ส่วนหน้า ดูแลพื้นที่ อ.จะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา จ.สงขลา 4อำเภอพื้นที่สีแดงภัยความไม่สงบต่อเนื่องชายแดนใต้ ด้วยบทบาทหน้าที่ส่งให้รองผู้บังคับการหนุ่มในตอนนั้น ได้รับสิทธินับอายุราชการแบบทวีคูณ สำหรับใช้นับอาวุโสในการแต่งตั้งเฉกเช่นตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงภัย 3 จังหวัดชายแดนใต้นายอื่นๆ

บิ๊กโจ๊ก ได้วันทวีคูณ 1 ปี 5 เดือน กับอีก 13 วัน ซึ่งเท่ากับเวลาที่ทำหน้าที่ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา ส่วนหน้า นั่นคือนับเพิ่มอาวุโสจากวันปฏิบัติราชการจริง และ อานิสงส์จากวันทวีคูณ ทำ บิ๊กโจ๊ก ก้าวขึ้นเป็นผู้บังคับการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าประสานนายกรัฐมนตรี ติดยศ พล.ต.ต. ในปี 2558 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2558 เมื่ออายุยังไม่ถึง 45 ปีเต็ม โดยได้รับการแต่งตั้งนอกวาระประจำปี ในยุค พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นผบ.ตร.

บิ๊กโจ๊ก ได้ทำหน้าที่นายตำรวจประสานงานใกล้ชิด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณหรือ “บิ๊กป้อม” รองนายกรัฐมนตรี คุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหลังจากเป็นผู้บังคับการประจำฯไม่นาน ก็ขยับเป็นผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว ในปี 2558 ผลงานโดดเด่น คือคดีจับบริษัททัวร์ ศูนย์เหรียญ ภาพลักษณ์ออกมาเดินหน้าชนปราบปรามธุรกิจท่องเที่ยวที่สงสัยเบี้ยวภาษีรัฐ ตามนโยบายรัฐบาล

กระทั่งวาระการแต่งตั้งประจำปี 2559 บิ๊กโจ๊ก ขยับเป็น ผบก.191 และได้ทำหน้าที่ชุดเฉพาะกิจ ตร. ปราบเด็กแว้นแก๊งซิ่ง ปราบโต๊ดเถื่อน จับค้ายาเสพติดออนไลน์ ส่งชุดปฏิบัติงานออกไปทั่วประเทศ จุดที่อยู่ส่งให้ บิ๊กโจ๊กงานออกตลอด

ถัดมาในปีเดียว ขึ้นแท่น รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เพราะกฎหมายแต่งตั้งตำรวจขณะนั้น กำหนดว่าผู้บังคับการจะเลื่อนเป็น รองผู้บัญชาการได้ ต้องเป็นผู้บังคับการมาไม่น้อยกว่า 2 ปี ซึ่งบิ๊กโจ๊ก เป็นผู้บังคับการมา 2 ปี กับอีกไม่กี่เดือน ถือว่าผ่านเกณฑ์ แต่เวลาผ่านไปเพียงสัปดาห์เดียว มีการประชุม ก.ตร. อีกครั้ง วาระแต่งตั้งผู้บัญชาการ ถึงผู้บังคับการ ในหน่วยงานตามการปรับโครงสร้างใหม่ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ก.ตร.เห็นชอบ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ โยกไปนั่งเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว

ท่ามกลาง เสียงฮือฮาเกิดขึ้นในแวดวงสีกากี นี่แหละ อภินิหารของจริง

บิ๊กโจ๊ก นั่งทำงานในตำแหน่ง รองผบช.ท่องเที่ยวเพียง 1 ปี แต่ก็โชว์ผลงานจับคดีดังๆเพียบ จนถูกขนานนามเป็น ผบ.ตร.ตัวจริง เพราะไม่ว่าคดีอะไรเป็นต้อง "บิ๊กโจ๊ก" ร่วมเอี่ยวทุกงาน กระทั่งมาถึงการแต่งตั้งนายพล วาระประจำปี 2561 ที่ผ่านมา ชื่อ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ก็ถูกคาดเดาไปนั่งเก้าอี้เป็น "ผบช." หน่วยใหญ่ๆทั้ง กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว(บช.ทท.) และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(สตม.)

ในที่สุดขยับติดยศ พล.ต.ท. ขึ้นเป็น ผบช.สตม. ด้วยวัย 48 ปีซึ่งถือว่าเป็นผู้บัญชาการที่หนุ่มที่สุด ทว่า จู่ๆเมื่อวันที่ 5 เมษายน2562 ได้มีคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เด้งบิ๊กโจ๊กไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

อนาคตของบิ๊กโจ๊ก จากนี้ไปจะเป็นอย่างไรต้องตามกันอย่ากระพริบ