ดัน "บิ๊กตู่"นั่งนายกฯ ตั้งได้แต่เดินไม่ได้
การรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลฝั่ง"พลังประชารัฐ" ดูเหมือนได้เปรียบเพราะมีเสียง250 สว.คอยหนุน"บิ๊กตู่"เป็นนายกฯ แต่ก็เสียงปริ่มน้ำ จึงเป็นข้อจำกัดในการทำงาน
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
การขับเคี่ยวรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลระหว่าง "เพื่อไทย" และ "พลังประชารัฐ" ยังคงเป็นไปอย่างดุเดือด เมื่อต่างฝ่ายต่างชิงจังหวะสร้างความได้เปรียบและหาเสียงสนับสนุนให้ได้มากที่สุด ในช่วงที่คะแนนของทั้งสองฝั่งยังคู่คี่สูสีจนยากจะบอกได้ว่าผลสุดท้ายจะออกมาเช่นไร
แต่หากพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมต่างๆ สถานการณ์ฝั่ง "พลังประชารัฐ" ย่อมถูกมองว่ามีความได้เปรียบมากกว่า คู่แข่งอยู่พอสมควร เมื่อมีเสียงจาก 250 สว.เฉพาะกาล ที่พร้อมจะยกมือ สนับสนุนเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตจากพรรคพลังประชารัฐเป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัย
ดังนั้น ต่อให้พรรคเพื่อไทยร่วมกับพรรคฝ่ายประชาธิปไตย อย่าง พรรคอนาคตใหม่ เศรษฐกิจใหม่ เสรีรวมไทย เพื่อชาติ ประชาชาติ จะร่วมกันประกาศ สัญญาประชาคมหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ผนึกกำลัง 255 ที่นั่ง คัดง้างการจัดตั้งรัฐบาลของฝั่งพลังประชารัฐ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายในกลไกที่ถูกออกแบบให้ สว.เข้ามามีส่วนร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี
เมื่อด้านหนึ่งการที่ฝั่งเพื่อไทยสามารถรวมเสียงจนได้เกินกึ่งหนึ่งพอ จะสามารถตั้งรัฐบาลได้ แต่ในทางปฏิบัติก็ยังไม่อาจผลักดันคนที่ตัวเองต้องการ ไม่ว่าจะเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ หรือชัยเกษม นิติสิริ ซึ่งเป็นแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย หรือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคอื่นได้สำเร็จหากไม่สามารถได้รับเสียงสนับสนุนจาก 250 เสียงของ สว.
ตรงกันข้ามกับฝั่งพลังประชารัฐที่ต่อให้รวมเสียง สส.ในสภาได้น้อยกว่า คู่แข่ง แต่ก็ยังสามารถพลิกเกมไปจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ด้วยการดึงเสียงจาก 250 สว.มาสนับสนุน ในขั้นตอนการเลือกนายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดทางการ จัดตั้งรัฐบาลต่อไป
แต้มต่อเรื่องเสียง 250 สว.ในมือจึงเป็นเสมือนใบเบิกทางที่เอื้อให้การตั้งรัฐบาลของฝั่งพรรคพลังประชารัฐ ผลักดัน พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัยจึงเป็นไปได้ง่าย แต่ในทางปฏิบัติจะมีความยุ่งยากในขั้นตอนหลังจากนั้น โดยเฉพาะกับการบริหารประเทศในฐานะรัฐบาลเสียง ข้างน้อย ที่ไม่มีเสียงสนับสนุนจาก 250 สว.มาประคับประคองในการลงมติของสภาผู้แทนราษฎร
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องคะแนนและจำนวนที่นั่งที่ทางคณะกรรมการการเลือกตั้งจะ ออกมาประกาศในวันที่ 9 พ.ค.นี้ การจะรีบประกาศความชัดเจนว่าใครจะได้เสียงข้างมาก ข้างน้อย จึงยังไม่อาจทำได้ เต็มที่นัก
ยิ่งหลังจากนี้ยังมีขั้นตอนที่ กกต.ต้องพิจารณาเรื่องร้องเรียนผู้สมัคร ที่ จะนำไปสู่การให้ใบเหลือง ใบแดง ใบส้ม ที่จะมีผลต่อจำนวนเก้าอี้ สส.ของแต่ละพรรค และกระทบต่อไปถึงการรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลในอนาคต เวลานี้จึงยังไม่อาจรีบด่วนสรุปอะไรได้
เพราะหากกรณีที่ฝั่งพรรคเพื่อไทยเกิดไม่ได้รับการรับรองหรือได้ใบแดง ใบเหลือง ใบส้ม ย่อมทำให้เสียงที่เคยรวมกันได้เกิน 250 เสียง ถูกปรับ ลดลงมา ก็อาจเสียความชอบธรรมในการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเหมือนที่เคยประกาศไปแล้วก่อนหน้านี้
ไม่ต่างจากฝั่งพรรคพลังประชารัฐ ที่หากผู้สมัครได้ใบเหลือง ใบแดง ย่อมมีผลทำให้จำนวนเสียงโดยรวมลดลงไป ซึ่งจะกลายเป็นการซ้ำเติมการบริหารประเทศในระยะยาว เริ่มตั้งแต่การพิจารณาแถลงนโยบาย การอภิปรายงบประมาณรายจ่ายประจำปี ไปจนถึงการพิจารณากฎหมายสำคัญในแต่ละเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องง่ายกับการคุมเสียงปริ่มน้ำ หรือเสียงข้างน้อยให้โหวตผ่านญัตติต่างในสภาได้
อีกด้านหนึ่งที่ห่วงกันว่าจะเกิด "งูเห่า" ในอนาคตนั้น แม้จะมีความเป็นไปได้ด้วยการต่อรองผลประโยชน์ต่างๆ แต่ในขณะที่สังคมกำลังเฝ้าติดตามการปฏิบัติหน้าที่ของบรรดา สส.จากพรรคต่างๆ อย่างใกล้ชิด แม้จะเป็นเอกสิทธิ์ของ สส.กับการโหวตด้วยวิจารณญาณของตัวเอง ไม่ต้องอิงกับมติพรรค แต่การจะพลิกไปโหวตให้กับขั้วตรงข้ามแบบไม่มีเหตุผลเพียงพอย่อมหนีไม่พ้นต้องถูกมองว่ามีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาแอบแฝง
แรงกดดันจากสังคมจึงอาจทำให้ยาก ที่จะเกิดสภาพงูเห่าอย่างที่คาดการณ์ และยิ่งจะทำให้การบริหารงานของรัฐบาลเป็นไปได้ยากลำบาก
ยังไม่รวมถึงเสียงสนับสนุนจากประชาธิปัตย์ ซึ่งแม้ในการเลือกตั้งรอบนี้จะแพ้แบบหลุดลุ่ยจนสูญเสียอำนาจการต่อรอง แต่ด้วยเสียงมากกว่า 60 เสียง ย่อมมีผลต่อทิศทางการจัดตั้งรัฐบาล ไม่ว่าจะเทไปสนับสนุนฝั่งใดฝั่งหนึ่ง
ดังจะเห็นว่าเวลานี้ ภายในพรรคประชาธิปัตย์เองก็มีความคิดเห็นแตกออกเป็นสองฝ่าย โดยฝ่ายหนึ่งเห็นควรที่จะคงจุดยืนไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ เหมือนที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคเคยประกาศไปก่อนหน้านี้ อันสอดคล้องกับอุดมการณ์ของพรรค แม้อภิสิทธิ์ จะลาออกไปแล้วแต่พรรคก็ควรจะเดินหน้าไปตามอุดมการณ์ต่อไป และยอมเป็นพรรคฝ่ายค้านอิสระที่ไม่ขึ้นกับทางพรรคเพื่อไทย
ขณะที่อีกปีกหนึ่งสนับสนุนให้ร่วมเป็น พรรครัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ เพื่อ สกัดการเข้าสู่อำนาจของฝั่งเพื่อไทย ซึ่ง สุดท้ายความเห็นที่แตกต่างกันนี้ย่อมทำให้ เสียงสนับสนุนที่เคยมองว่าประชาธิปัตย์อาจเทมาสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐทั้งหมดอาจต้องลดจำนวนลงไป
ด้วยสภาพเสียงที่ปริ่มน้ำเวลานี้จึงเป็นข้อจำกัดที่ "บิ๊กตู่" ต้องเผชิญต่อไปและกลายเป็นปัจจัยสุ่มเสี่ยงในอนาคต ขึ้นอยู่ที่ว่าจะสามารถหาทางรับมืออย่างไรต่อไป


