posttoday

"อนาคตใหม่" บทพิสูจน์บนความขัดแย้ง

18 ธันวาคม 2561

ความขัดแย้งใน "พรรคอนาคตใหม่" เป็นบทพิสูจน์ผู้นำพรรคอย่าง "ธนาธร" และ "ปิยบุตร" ว่าจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้หรือไม่

ความขัดแย้งใน "พรรคอนาคตใหม่" เป็นบทพิสูจน์ผู้นำพรรคอย่าง "ธนาธร" และ "ปิยบุตร" ว่าจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้หรือไม่

****************************************

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

หากจะบอกว่าพรรคการเมืองไหนมีสัญลักษณ์ของความเป็นคนรุ่นใหม่โดยแท้ คงต้องมีชื่อของ “พรรคอนาคตใหม่” อยู่ด้วยอย่างแน่นอน

พรรคอนาคตใหม่ภายใต้การนำของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรค และ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” เลขาธิการพรรค ได้เดินสายและเกมการเมืองชัดเจนและตรงไปตรงมา โดยเฉพาะนโยบายต่อต้านความไม่เป็นประชาธิปไตยทุกรูปแบบ ถึงขั้นประกาศว่าจะไม่ร่วมงานกับพรรค การเมืองที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี

เรียกได้ว่าประกาศตัวกันแบบไม่อ้อมค้อมว่าจะไม่มีวันที่จะร่วมงานกับกองทัพที่เข้ามาแทรกแซงการเมืองอย่างเด็ดขาด

จังหวะการก้าวของพรรคอนาคตใหม่ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ที่ได้มีการเปิดตัวพรรคอย่างเป็นทางการไปนั้นต้องยอมรับว่าสร้างกระแสและเสียงตอบรับได้อย่างมีนัยสำคัญ

กระแสของพรรคอนาคตใหม่ส่งผลให้ชื่อของธนาธรไปติดอยู่ใน 5 บุคคลที่ประชาชนสนับสนุนให้เป็นนายกฯ ร่วมกับบิ๊กเนมการเมืองหลายคนตามผลการสำรวจความคิดเห็นของสำนักโพลต่างๆ

ปัจจัยหนึ่งที่เอื้อให้กระแสของพรรคอนาคตใหม่แรงขึ้นมาต่อเนื่องอยู่ที่การเน้นเจาะฐานเสียงของกลุ่มคนรุ่นใหม่สองกลุ่มเป็นหลัก ได้แก่ กลุ่มที่ 1 คนที่กำลังจะมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งครั้งแรกเพราะเหตุที่มีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ในวันที่ 24 ก.พ. 2562 และ กลุ่มที่ 2 คนมีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ภายหลังการรัฐประหารเมื่อปี 2557 ซึ่งเป็นกลุ่มคนอีกกลุ่มที่ยังไม่เคยใช้สิทธิเลือกตั้งเช่นกัน

ทั้งนี้ มีการประเมินผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งสองกลุ่มนี้จะมีมากกว่า 2-3 ล้านคน จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งประเทศราว 50 ล้านคน จึงไม่แปลกหากพรรคอนาคตใหม่จะเข็นนโยบายต่อต้าน คสช.เพื่อเอาใจวัยรุ่นที่เบื่อกับการเมืองและการรัฐประหารแบบเดิมๆ

ล่าสุดธนาธรและพรรคเพิ่งได้ประกาศนโยบายปฏิรูปประเทศพร้อมกับการปฏิรูปกองทัพไปพร้อมกัน 12 นโยบาย อาทิ ยุติระบบราชการรวมศูนย์ ทลายเศรษฐกิจผูกขาด ล้างระบบเส้นสาย ปฏิรูปกองทัพ ลดนายพล ละอาวุธ เลิกเกณฑ์ทหาร หรือปักธงประชาธิปไตย ล้างมรดกรัฐประหาร สร้างการเมืองแบบใหม่ เป็นต้น

“วันนี้เราทำให้สังคมเห็นแล้วว่า พวกเราคิดเยอะ คิดรอบด้าน และคิดไกลกว่าคนอื่น ที่สำคัญที่สุดคือ พวกเราพร้อมชนกับปัญหาที่ต้นตอของปัญหาจริงๆ” ธนาธร ระบุ

แต่มาเวลานี้พรรคอนาคตใหม่กำลังเจอกับปัญหาการเมืองภายในพรรคที่เขย่าสถานะพรรคให้สั่นคลอนได้พอสมควร ภายหลังเกิดสถานการณ์สมาชิกพรรคเริ่มท้าทายผู้บริหารพรรคถึงสองครั้ง

ครั้งแรก เป็นกรณีของกลุ่มเครือข่ายคนรุ่นใหม่ของพรรคถูกผู้บริหารพรรคสั่งให้ยุติการดำเนินกิจกรรม หลังจากพบความไม่โปร่งใสของการดำเนินกิจกรรม ก่อนที่ตัวแทนของกลุ่มเครือข่ายดังกล่าวจะออกมาโวยผู้บริหารพรรคพร้อมกับขอตัดขาดกับพรรคอนาคตใหม่เป็นการถาวร

ครั้งที่สอง เป็นกรณีของกลุ่มตัวแทนผู้สมัคร สส.ของพรรคฝั่งธนบุรีแสดงความไม่พอใจกับกระบวนการสรรหาผู้สมัครของพรรคอนาคตใหม่
ที่มีการนำกลุ่มคนที่มีความใกล้ชิดกับผู้บริหารพรรคมาลงสมัคร ทั้งๆ ที่กลุ่มผู้สมัครเดิมได้ทำพื้นที่มาตลอด

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว ถ้าเกิดกับพรรคการเมืองเก่าในปัจจุบันก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด แต่เมื่อเกิดขึ้นกับพรรคใหม่ป้ายแดงอย่างพรรคอนาคตใหม่ จึงกลายเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาไปโดยปริยาย

ในความเป็นพรรคใหม่ซึ่งใหม่ทั้งผู้บริหารและสมาชิกพรรค ทุกฝ่ายต่างเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่กันหมด ประกอบกับผู้บริหารของพรรคเองก็ยังไม่มีประสบการณ์หรือความอาวุโสทางการเมืองมากนัก

ตรงนี้เองจึงเป็นสาเหตุให้ลูกพรรคไม่ค่อยมีความเกรงใจผู้บริหารพรรคมากนัก เนื่องจากลูกพรรคเองก็ทราบดีว่าภายใต้กติกาการเลือกตั้งแบบใหม่ ผู้บริหารพรรคจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องง้อสมาชิกพรรค ไม่ใช่สมาชิกพรรคง้อผู้บริหารพรรคเหมือนในอดีต

ดังนั้น เมื่อเกิดปัญหาความไม่ลงรอยกันในพรรค แทนที่จะสาวไส้และปะฉะดะกันภายในพรรค ปรากฏว่ากลายมาเป็นการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ที่ตัวเองมีมาฆ่าพวกเดียวกันเอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการจัดการความขัดแย้งภายในพรรคที่ยังไม่มีประสิทธิภาพมากนัก

ความขัดแย้งของพรรคอนาคตใหม่ แม้ด้านหนึ่งธนาธรและกลุ่ม ผู้บริหารของพรรคจะมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาในทางการเมือง แต่ผล
เสียหายย่อมมีตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากพรรคเองก็ยังอยู่ในช่วงของการตั้งไข่เท่านั้น

ในระยะยาวผลกระทบจะตกมายังตัวธนาธรอย่างมีนัยสำคัญ เพราะอาจถูกตั้งคำถามถึงความสามารถในการทำงาน

อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งภายในพรรคที่เกิดขึ้นนี้จะเป็นบทพิสูจน์ของธนาธรและปิยบุตรไปในตัวด้วย ถ้าผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ พรรคอนาคตใหม่น่าจะมีความเก๋าการเมืองทั้งในและนอกพรรคมากขึ้น

ถึงเวลานั้นพรรคอนาคตใหม่อาจกลายเป็นคลื่นลูกที่สามที่เดินเข้าสภาด้วยพลังของคนรุ่นใหม่อย่างที่พรรค การเมืองใหญ่คาดไม่ถึงก็เป็นได้