posttoday

ยื้อปลดล็อกการเมือง เข้าทาง "บิ๊กตู่" โกยคะแนน

10 กันยายน 2561

ยิ่งยังไม่ปลดล็อกทางการเมือง “บิ๊กตู่” ย่อมได้เปรียบกว่าฝ่ายตรงข้ามทุกประตู คาดได้การประชุม ครม.สัญจรจากนี้จะเน้นเจาะพื้นที่สีแดงเป็นหลัก

ยิ่งยังไม่ปลดล็อกทางการเมือง “บิ๊กตู่” ย่อมได้เปรียบกว่าฝ่ายตรงข้ามทุกประตู คาดได้การประชุม ครม.สัญจรจากนี้จะเน้นเจาะพื้นที่สีแดงเป็นหลัก

*********************************

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

จริงๆ แล้วตามโรดแมปคืนประชาธิปไตยให้ประเทศด้วยการเลือกตั้ง คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องปลดล็อกทางการเมืองให้เกิดขึ้นในระยะที่สามของโรดแมป

ทว่านับแต่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง จนมาถึงวันนี้ คสช.ยังไม่เปิดทางให้พรรคหรือนักการเมืองที่ต้องการลงสนามเลือกตั้งทำกิจกรรมทางการเมืองได้เต็มที่ ยังคงเพียงคลายล็อกเล็กๆ หรือลดระดับกฎเหล็กลงให้ทำกิจกรรมได้บางอย่าง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานทางธุรกรรมเล็กๆ น้อยๆ มิใช่งานการเมืองที่เกี่ยวกับการลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งช่วงชิงคะแนนนิยมระหว่างกัน

เหตุผลในการตรึงล็อกทางการเมืองไว้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้า คสช. อ้างมาโดยตลอดและเป็นเหตุผลที่พูดคล้ายๆ กันเสมอ คือ ประเด็นความมั่นคง เพราะรัฐบาลไม่ต้องการให้เกิดแรงกระเพื่อมมีการเคลื่อนไหวทั้งใต้ดินหรือบนดินที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและเสถียรภาพรัฐบาล และเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของชาติ หรือไม่ก็อ้างว่าต้องรอให้กฎหมายลูก พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. และการได้มาซึ่ง สว.โปรดเกล้าฯ ลงมาก่อน

เหตุผลเหล่านี้ล้วนสร้างความอึดอัดแก่บรรดานักการเมือง ยิ่งนับแต่ “บิ๊กตู่” ประกาศชัดวันเลือกตั้ง 24 ก.พ. 2562 จากกระแสก่อตัวเป็นเหมือนพายุกดดันให้ คสช.ต้องปลดล็อกได้แล้ว เพราะถ้าขืนไปเชื่อตามที่ “บิ๊กตู่” ให้สัญญาไว้ยิ่งแต่จะเสียรังวัดทางการเมืองให้กับพรรคการเมืองที่เป็นพันธมิตร คสช. ทำให้บรรดานักการเมืองโดยเฉพาะพรรคใหญ่ อาทิ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) หรือพรรคเพื่อไทย (พท.) ขยับตัวเคลื่อนไหวทวงสัญญาว่าถึงเวลาต้องปลดล็อกได้แล้ว จะถ่วงเวลาไปทำไม

นั่นเพราะช่วงเวลาไล่เลี่ยกับการที่ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองจะมีผลบังคับใช้ บีบหัวใจมากเพราะเหลือเวลาเพียง 70 วันเท่านั้น เป็นแบบนี้คงหาเสียงตีตื้นคะแนนนิยม “บิ๊กตู่” ไม่ทันเป็นแน่ อาทิ การหาสมาชิก จัดทำและเสนอนโยบาย เดินสายหาเสียง หรือเปิดเวทีปราศรัย วันเวลาเท่านั้นรับรองคงไม่มีทางตุนคะแนนสู้ “บิ๊กตู่” ได้

ทำให้บรรดานักการเมืองต่างนั่งไม่ติดก้น ยิ่งได้เห็น “บิ๊กตู่” ตะลุยเดินสายหาเสียงเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก แล้วทนไม่ได้ เพราะ “บิ๊กตู่” ประกาศตัวลงการเมืองแล้ว แต่ในฐานะหัวหน้า คสช.กลับไม่ยอมปลดล็อกให้เกิดการแข่งขันเสรีทางการเมือง ทำแบบนี้เหมือนเป็นการเอาเปรียบกันซึ่งหน้า แม้ทุกครั้งที่ “บิ๊กตู่” เดินสายประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร จะย้ำเสมอว่า ไม่ได้มาหาเสียง หรือผมไม่ต้องการสืบทอดอำนาจ คสช. แต่นัยหรือพฤติกรรมทางการเมืองไม่เป็นเช่นนั้น

แต่หากดูช่วง 4 ปี “บิ๊กตู่” ประชุม ครม.สัญจร เริ่มตั้งแต่ ตระเวน 6 พื้นที่ 6 ภูมิภาค เมื่อกลางปี 2560 ประกอบด้วย ภาคเหนือ กลาง อีสาน ใต้ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ปูทางสร้างคะแนนนิยมทุกเส้นทาง หรือจังหวัดที่ลงไปล้วนมีแฝงนัย หรือกลิ่นการเมืองทั้งสิ้น ผ่านการอนุมัติงบประมาณและโครงการต่างๆ ที่สำคัญจับเข่าพูดคุยหารือกับนักการเมืองเจ้าถิ่นในทุกจังหวัดที่ลงไป

เป็นที่น่าสังเกตเมื่อเข้าโค้งสุดท้าย “บิ๊กตู่” เร่งตีปี๊บขยันลงพื้นที่ในภาคเหนือและอีสานเป็นพิเศษ อย่างล่าสุดตั้งเป้าเจาะพื้นที่สีแดงทางการเมืองของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้นำพรรคเพื่อไทยตลอดกาล โดย 2 เดือนถัดจากนี้ไป เน้นเจาะลงพื้นที่ภาคเหนือ ระหว่างวันที่ 17-18 ก.ย. ลงพื้นที่ประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.เลย และเพชรบูรณ์ เลื่อนมาจาก จ.เชียงราย และพะเยา แต่พอถัดไปเดือน ต.ค. ยังล็อกเป้าลงพื้นที่ประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.เชียงราย กับพะเยาอีก เพราะ “บิ๊กตู่” รู้ดีว่าจังหวัดเหล่านี้ล้วนเป็นฐานที่มั่นของพรรคเพื่อไทย

ที่สำคัญเป็นจังหวะเดียวกับกลุ่มสามมิตร สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ สมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำสำคัญของพรรคพลังประชารัฐ แอบเดินสายเจาะพื้นที่ภาคเหนือและอีสานพอดีเป๊ะ ยิ่ง จ.เลย เจ้าบ้าน “ปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข” อดีต สส.เลย พรรคเพื่อไทย กลับใจหันมาแท็กทีมกับกลุ่มสามมิตร ร่วมกันเดินสายหาเสียงกล่อมให้พี่น้องภาคเหนือ เทคะแนนเชียร์ “บิ๊กตู่” กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมๆ กับวิ่งล็อบบี้ดึงอดีต สส.มาร่วมพรรคพลังประชารัฐ เพราะมั่นใจว่าสมัยหน้าได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลอย่างแน่นอน มีหรืออดีต สส.ไม่อยากเข้ามาซบไหล่ จึงปรากฏเป็นข่าวว่าอดีต สส.เหนือและอีสานโดนดูดหนักกว่าทุกภาค

คาดการณ์ได้ว่าการประชุม ครม.สัญจร ของ “บิ๊กตู่” จากนี้ไปเน้นเจาะพื้นที่สีแดงเป็นหลัก ยิ่งยังไม่มีการปลดล็อกทางการเมือง “บิ๊กตู่” ย่อมได้เปรียบกว่าฝ่ายตรงข้ามทุกประตู อาทิ การใช้กลไกอำนาจรัฐ หรือการอัดนโยบายและงบประมาณลงไปแก้ปัญหาใหม่ๆ ให้กับพี่น้องประชาชน รวมถึงการได้พื้นที่สื่อในการแสดงวิสัยทัศน์ผ่านการปราศรัยระหว่างตรวจราชการ ทั้งที่เป็นสื่อรัฐ หรือเอกชน โดยไม่มีฝ่ายใดกล้าออกมาวิพากษ์วิจารณ์ เปรียบเหมือนมวยที่ชกชนะแบบไร้คู่ต่อสู้ ดังนั้นเกมยื้อปลดล็อกทางการเมืองขณะนี้เข้าทาง “บิ๊กตู่” เปิดโอกาสโกยคะแนนนิยมไปเต็มๆ คนเดียว