'สามมิตร' เขย่าเพื่อไทย
ร้อนจนเพื่อไทยต้องรีบออกมาร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เร่งตรวจสอบปฏิบัติการดูดของกลุ่มสามมิตรที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
ร้อนจนเพื่อไทยต้องรีบออกมาร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เร่งตรวจสอบปฏิบัติการดูดของกลุ่มสามมิตรที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ถึงขั้นหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปย่อมมีแต่จะสั่นคลอนความเป็นเอกภาพภายในพรรค ที่นับวันมีแต่จะถูกกัดเซาะหนักขึ้นเรื่อยๆ ในหลายพื้นที่
ที่สำคัญปฏิบัติการดูดแบบเปิดเผยที่ท้าทายคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งสะกดไม่ให้พรรคการเมืองออกมาเคลื่อนไหวตลอด 4 ปีที่ผ่านมา แต่เหมือนคำสั่งนี้จะไม่มีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของกลุ่มสามมิตรที่เดินเกมหนักขึ้นเรื่อยๆ
อีกทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนี้ว่า “เขาไม่ได้ไปหาเสียงอะไร ขณะนี้พรรคการเมืองยังไม่มีการเปิดตัว เขาไม่ได้คุยกันเรื่องต่อต้านอะไร ไม่ได้รวมตัวกันเพื่อปั่นป่วนทำให้เกิดความวุ่นวายในรัฐบาล ซึ่งการพูดคุยดังกล่าวเป็นเรื่องของบุคคล ไม่ใช่เรื่องการทำงานทางการเมือง”
ยิ่งเสมือนเป็นใบเบิกทางให้การเคลื่อนไหวของกลุ่มสามมิตรรุกหนักได้มากขึ้น โดยไม่ต้องกังวลต่อกฎกติกาที่มีโทษถึงขั้นยุบพรรค
ที่ผ่านมา “เพื่อไทย” พยายามแสดงความเป็นปึกแผ่นภายในพรรคโต้กระแสเลือดไหลไม่หยุด โดยยืนยันว่ากลุ่มที่ไหลออกแบบชัดเจนมีเพียงแค่ จ.เลย ส่วนที่เหลือเป็นเพียงแค่กระแสข่าว หลายคนยังยืนยันอยู่กับพรรคในเวลานี้
อีกทั้งกลุ่มที่ไปอยู่กับพรรคพลังประชารัฐหลายคนเป็นแค่อดีต สส.-สว.ที่ห่างพื้นที่ไปนาน รวมไปถึงกลุ่มที่มีปัญหาส่วนตัว มีคดีความ บางส่วนเป็นเรื่องของการทับซ้อนในพื้นที่จากระบบเขตเลือกตั้งที่ลดลง 400 เขต เหลือ 350 เขต หลายคนที่อาจไม่ได้ลงระบบเขตจึงย้ายออกไป
พร้อมแสดงความมั่นใจว่าเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างไรก็ยังจะชนะการเลือกตั้งเหมือนที่ผ่านมา
แต่จากการขยับที่ปรากฏก็แสดงให้เห็นว่าเพื่อไทยไม่อาจนิ่งนอนใจการรุกคืบของกลุ่มสามมิตรในฐานะแกนนำที่กำลังขยับดึงอดีต สส.เพื่อไทย ไปเสริมทัพให้กับพรรคพลังประชารัฐที่มีความเข้มแข็ง ทั้งอำนาจรัฐ อำนาจทุน จนเรียกได้ว่าเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวกว่าที่ผ่านมาของเพื่อไทย
ดังจะเห็นจากการตัดไฟแต่ต้นลม ยื่นเรื่องต่อ กกต. ทั้งให้ระงับ ไม่อนุญาตให้จัดตั้งพรรคพลังประชารัฐ และตรวจสอบกรณีกลุ่มสามมิตรที่นำโดย สมศักดิ์ เทพสุทิน สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เนื่องจากมีการดูดอดีต สส.เพื่อไปร่วมพรรคพลังประชารัฐ
อันอาจเข้าข่ายความผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 169 (4) ที่บัญญัติห้ามมิให้คณะรัฐมนตรีใช้ทรัพยากรของรัฐ หรือบุคลากรของรัฐ เพื่อกระทำการใดอันอาจมีผลต่อการเลือกตั้ง และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 30, 31 ที่ห้ามมิให้พรรคการเมืองหรือผู้ใด ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน หรือประโยชน์อื่นใด ไม่ว่าโดยตรง หรือโดยอ้อมเพื่อจูงใจให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรค และห้ามมิให้ผู้ใดเรียก รับ หรือยอมรับเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด จากพรรคการเมือง หรือจากผู้ใดเพื่อสมัครเข้าเป็นสมาชิก โดยจะมีโทษจำคุก 5-10 ปี ปรับ 1-2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
นอกจาก ปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข เปล่งมณี เร่งสมบูรณ์สุข และวันชัย บุษบา อดีต สส.เลย ที่เปิดตัวย้ายซบพรรคพลังประชารัฐอย่างเป็นทางการแล้ว หลายพื้นที่เริ่มเห็นการขยับต่อสายพูดคุยจาก “กลุ่มสามมิตร” และอยู่ระหว่างการตกลงในรายละเอียด
ไม่ว่าจะเป็น สันติ พร้อมพัฒน์ อดีต รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ไปจนถึงอดีตสส.ทั้งใน จ.ชัยภูมิ กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี อุดรธานี แม้แต่นครปฐมของตระกูลสะสมทรัพย์ เวลานี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเหนียวแน่นอยู่กับเพื่อไทยแค่ไหน
นับจากนี้จึงมีโอกาสที่เห็นการทยอยเปิดตัว สส.ที่ย้ายจากเพื่อไทยไปอยู่กับพลังประชารัฐ
เมื่อฝั่งพลังประชารัฐเองก็ต้องเร่งสร้างราคาให้เห็นว่าเป็นเป้าหมายที่หลายคนต้องการย้ายเข้า ทั้งดึงดูดคนที่กำลังคิดหนักว่าจะย้ายหรือไม่ย้าย อีกด้านหากตัดสินใจย้ายช้าเกินไปย่อมอาจไม่ทันคนอื่นที่ได้รับการทาบทามจนเกิดการทับซ้อนในเรื่องพื้นที่
ช่วงโค้งสุดท้ายปรากฏการณ์ไหลออกจึงน่าจะหนักขึ้นในช่วงใกล้เดดไลน์ที่ต้องแสดงความชัดเจนว่าแต่ละคนจะลงสมัครในนามพรรคใด