posttoday

"สุเทพ" ตั้งพรรค ปชป.สะท้านสะเทือน

04 มิถุนายน 2561

อนาคตทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์เริ่มระส่ำระสาย เมื่อ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" ประกาศตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย

อนาคตทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์เริ่มระส่ำระสาย เมื่อ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" ประกาศตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย

****************************

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

นับเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โดยเฉพาะฐานที่มั่นสำคัญในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้กำลังสั่นคลอนจากที่เคยกวาดที่นั่งได้เกือบหมดทุกจังหวัดถึงขนาดเปรียบเปรยกันว่า ปชป.ส่งเสาไฟฟ้าลงก็ชนะแบบนอนมา

แต่หลังจากวันที่ 3 มิ.ย.นี้ อนาคตทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์จะเริ่มระส่ำระสาย เพราะ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ประกาศตั้ง “พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.)” เปิดหน้าท้าชนสู้ศึกทางการเมืองกับพรรค ปชป.เต็มรูปแบบ เพื่อสนับสนุน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป

คอการเมืองรู้ดีว่า “สุเทพ” คือ นักการเมืองผู้มากบารมีที่สุดใน ปชป. และในพื้นที่ภาคใต้ เพราะ “สุเทพ” อยู่กับพรรคประชาธิปัตย์มากว่า 30 ปี เป็นขุนพลเบอร์หนึ่งในการสู้ศึกเลือกตั้งมาโดยตลอด ทั้งในภาคใต้ และการเมืองระดับประเทศ ดังนั้น การจากลาของ “สุเทพ” จึงถือเป็นความสูญเสียขุนพล หรือแม่ทัพคนสำคัญที่สุดของประชาธิปัตย์ เช่นเดียวกับครั้งหนึ่งที่ ปชป. เคยเสีย “พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์” และ “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” อดีตรองหัวหน้า ที่ตีจากรังประชาธิปัตย์ไปตั้งพรรคมหาชน เหมือนกับที่ “สุเทพ” และ “เอเนก” ที่กำลังทำร่วมกันตั้งพรรคใหม่อยู่ในตอนนี้

“สุเทพ” นับเป็นมันสมองและท่อน้ำเลี้ยงของพรรค แทบทุกเรื่องรวมศูนย์อยู่ที่ “สุเทพ” ตั้งแต่การกำหนดยุทธศาสตร์ทางการเมืองทั้งในภาคใต้ หรือศึกเลือกตั้งระดับท้องถิ่น หรือระดับชาติ “สุเทพ” เป็นผู้กำหนดทิศทางหมด คงจำกันได้ อย่างช่วงสุญญากาศทางการเมือง ปี 2551 เปลี่ยนนายกรัฐมนตรี ถึง 2 คน “สมัคร สุนทรเวช” และ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” จากพรรคพลังประชาชนที่ถูกตัดสินยุบพรรค “สุเทพ” คือ คีย์แมน ผู้ประสานงานดึงพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้พรรค ปชป. ตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ โดยกองทัพหนุนหลังเต็มที “สุเทพ” ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง

แม้แต่การเมืองนอกถนน “สุเทพ” ก็เข้ามามีบทบาทสูงสุดเช่นกัน อาจกล่าวได้ว่าพรรค ปชป.เข้มแข็งได้เพราะ “สุเทพ” ที่มีคอนเนกชั่นในทุกระดับ แน่นอนพรรคใหม่ของ กปปส. ในนาม รปช. ย่อมส่งผลให้สมรภูมิเลือกตั้งในภาคใต้ร้อนฉ่า เพราะกลายเป็นศึกใหญ่ระหว่าง ปชป. กับ กปปส. แต่ดูเหมือนว่าการสู้ศึกครั้งนี้ กปปส.จะได้เปรียบกว่า ปชป. เพราะอย่าลืมว่าแนวร่วมหรือฐานเสียงของทั้ง กปปส. และ ปชป. กินพื้นที่เดียวกัน

หากจำกันได้ในช่วงวิกฤตทางการเมือง ม็อบนกหวีดชุมนุมใหญ่ชัตดาวน์กรุงเทพฯ เมื่อปี 2557 มวลมหาประชาชนที่มาร่วมชุมนุมมาราธอน เกือบทั้งหมดล้วนมาจากภาคใต้ โดยมี “สุเทพ” เป็นแม่เหล็กคนสำคัญในการดึงดูดมวลชนมาร่วมชุมชนยืดเยื้อจนสามารถโค่นล้มรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี

ทั้ง “ชวน หลีกภัย” ที่ปรึกษาพรรค กับ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรค หรือผู้บริหารพรรคคนอื่นๆ ออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การตั้งพรรคของ “สุเทพ” หรือ กปปส. ไม่กระทบ ปชป.แม้แต่น้อย แต่ก็ประมาทไม่ได้ เพราะเซียนการเมืองภาคใต้ที่สุด ไม่ใช่ “ชวน” หรือ “อภิสิทธิ์” แต่คือ “สุเทพ” ที่รู้ไส้รู้พุงรังเก่าตัวเองดีที่สุด ทั้งยุทธศาสตร์ กลยุทธ์ หรือยุทธวิธี ในการเจาะพื้นที่หาเสียง ไม่มีใครสู้ “สุเทพ” ได้ ทำให้การแข่งขันชิง สส.ในทุกจังหวัดภาคใต้เดิมพันสูงกว่าครั้งไหนๆ

แน่นอนเมืองหลวงใหญ่ของพรรค กปปส. หรือ รปช. คือ “สุราษฎร์ธานี” จังหวัดที่ “สุเทพ” ยืดครองมายาวนานตั้งแต่ปี 2522 จนปัจจุบัน จนไม่มีผู้สมัครหน้าไหนกล้าต่อกรได้เลย แต่การเลือกตั้ง ปี 2562 ไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป จึงกลายเป็นศึกสายเลือดระหว่างคนบ้านเดียวกัน ที่ต่างฝ่ายต่างหวังโค่น ปชป. ย่อมต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะ

แต่เมื่อ ปชป. ขาดขุนพลคนสำคัญอย่าง “สุเทพ” ที่รู้กันอยู่ว่า สส.ส่วนใหญ่ในพรรค ปชป. อยู่ใต้อาญัติ หรือการดูแลของ “สุเทพ” ผู้มากด้วยบารมีและกระสุนดินดำ อดีต สส.สมาชิกพรรค หรือหัวคะแนน จะเลือกไปซบอกใคร ระหว่าง “ชวน” “อภิสิทธิ์” หรือ “สุเทพ” เป็นประเด็นร้อนที่ขย่มเสถียรภาพทางการเมืองของ ปชป. อยู่ ณ เวลานี้

ในอดีตใครจะลงสมัคร สส.พรรค ปชป.ในพื้นที่ภาคใต้ลงยากมากๆ เพราะฐานเสียงส่วนใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ยึดติดกับพรรคด้วยค่านิยมแบบท้องถิ่นนิยม เหมือนกับพรรคเพื่อไทย ที่มี “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นบุคคลที่คนอีสานเลือกเพราะตัวบุคคล กล่าวคือ ภาคใต้ ต้องสังกัดพรรค ปชป. ส่วนภาคอีสานต้อง พรรคเพื่อไทย ถึงจะได้เป็น สส. ดังนั้นไม่ว่าพรรคใดเข้ามาเบียดแทรกในพื้นที่ภาคใต้ แพ้กลับไปไม่เป็นท่า ดั่งเช่น เพื่อไทย ประสบมาแล้ว

แต่ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเกิดทางเลือกใหม่เข้ามา ระหว่าง ปชป. ความนิยมในตัวพรรค กับ “สุเทพ” ที่ได้รับความนิยมในตัวบุคคล ในฐานะแกนนำมวลมหาประชาชน ย่อมทำให้นักการเมืองหน้าใหม่โดยเฉพาะบรรดาอดีตแกนนำ กปปส.ต่างวิ่งเข้าหา เพราะการชนะเลือกตั้ง 50-50 พรรค ปชป.ไม่ได้กินขาดอีกต่อไป

จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เหตุใดพรรค ปชป. ตั้งแถวออกมาดับเครื่องชน คสช.แบบไม่ยั้งมือ ท่ามกลางศึกสามเส้า ระหว่าง คสช.ผนึก “สุเทพ” กับ ปชป. ใครจะกำชัยชนะ ต้องติดตามกันต่อไป