posttoday

ทักษิณออกโรง สกัดดูดเพื่อไทย

09 พฤษภาคม 2561

หลังเก็บตัวเงียบไร้การเคลื่อนไหวมาพักใหญ่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เริ่มต้นขยับด้วยการออกมา ทวีต ข้อความผ่านทวิตเตอร์ @ThaksinLive

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

หลังเก็บตัวเงียบไร้การเคลื่อนไหวมาพักใหญ่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เริ่มต้นขยับด้วยการออกมา ทวีต ข้อความผ่านทวิตเตอร์ @ThaksinLive ถึงกรณีที่ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองกลาง ส่งให้ผลการยกเลิกพาสปอร์ต 2 ฉบับ มีผลโดยสมบูรณ์ ว่าไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย  

​“การฟ้องไม่ใช่เพราะเดือดร้อนอะไร ที่ไม่ได้ใช้หนังสือเดินทางของไทย แต่เพียงต้องการอยากเห็นกระบวนการยุติธรรมของไทยได้มีโอกาสปรับตัวจากการถูกปรามาส ว่าถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองจนไม่เป็นที่พึ่งของสังคม เพราะได้ดำเนินการไปโดยขัดหลักนิติธรรมสากล และเลือกปฏิบัติต่อคนเฉพาะกลุ่มเฉพาะฝ่ายมาโดยตลอด”​

ไม่ต่างจากท่าทีที่ผ่านมาของ อดีตนายกฯ ทักษิณ ซึ่งจะใช้ยุทธศาสตร์สะท้อนให้เห็นสภาพถูกกระทำผ่านกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย ที่ขัดกับหลักสากลและยังถูกเลือกปฏิบัติ 

ถัดจากนั้นไม่กี่วัน คู่พี่น้องอดีตนายกฯ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จูงมือกันบินไปยังประเทศสิงคโปร์ เปิดห้องอาหารเลี้ยงโต๊ะจีนกับบรรดาอดีตรัฐมนตรีและ สส.จากพรรคเพื่อไทย กว่า 50 คน 

ด้านหนึ่งมองว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นการ “เช็กชื่อ” ตรวจแถวบรรดาอดีต สส.ว่าจะยังเหนียวแน่นกับพรรคเพื่อไทย พร้อมลุยศึกเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปหรือไม่ 

ในวันที่แรง “ดูด” ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ สอดรับไปกับแนวคิดการตั้ง “พรรคทหาร” ซึ่งมีภารกิจผลักดัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัย ที่มีความชัดเจนจนเริ่มเห็นการออกมาดำเนินการของแต่ละฝ่ายอย่างเป็นระบบ

ทั้งการเดินสายของคนใน คสช. ที่​ไปพบปะกับกลุ่มการเมืองต่างๆ ในอดีต ทั้งตะกูลสะสมทรัพย์ เจ้าของพื้นที่นครปฐม เรื่อยไปจนถึงการดึงตัวคู่พี่น้อง สนธยาและอิทธิพล คุณปลื้ม จากพรรคพลังชล เจ้าของพื้นที่ชลบุรี มารับตำแแหน่งในรัฐบาล คสช. ไม่ต่างจากการดึง สกลธี ภัททิยกุล อดีต สส.กทม.ประชาธิปัตย์ มาเป็นรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ หอบคณะรัฐมนตรีไปประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.บุรีรัมย์ ฐานที่มั่นทางการเมืองของ เนวิน ชิดชอบ ซึ่งมีการตั้งเรื่องชงโครงการต่างๆ ​รวม 2 หมื่นล้านบาท เพื่อพัฒนาพื้นที่ ในวันที่เริ่มมีการพูดถึงสูตรจัดตั้งรัฐบาลผ่านกลไก “นายกรัฐมนตรีคนใน” ซึ่งต้องอาศัยเสียงจาก สส. 125 เสียงของเพื่อไทยรวมกับ 250 เสียงจาก สว.ชุดเฉพาะกาลที่ คสช.เป็นคนคัดเลือก

​ไม่แปลกที่จะเห็นพรรคต่างๆ ออกมาประสานเสียงโจมตีมหกรรมการดูดรอบนี้ว่านอกจากจะสวนทางการปฏิรูปที่ คสช.พยายามปลุกปั้นแล้วยังยิ่งทำให้การเมืองเดินถอยหลังย้อนกลับไปสู่วังวนปัญหาเหมือนที่ผ่านมา ด้วยแนวคิดการสืบทอดอำนาจที่กำลังเดินหน้า ​

ขณะที่ ​สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ถูกมองว่าเป็นคีย์แมนคนสำคัญกับการจัดตั้งพรรคทหารนั้น ออกมาชี้แจงเรื่องการดูด สส.ว่า  “ไม่มีใครไปดูดใคร ไม่มีเลย แต่ทำไมคนอยากจะย้ายบ้าน เพราะว่าบ้านอยู่แล้วไม่มีความสุขหรือไม่ มันจึงต้องพัฒนาบ้านให้เป็นบ้านที่คนไทยฝากความหวังไว้ได้”

สำหรับพรรคเพื่อไทยแชมป์เก่าเวลานี้กำลังระส่ำระสายอยู่ไม่น้อย ในวันที่หัวขบวนต้องระหกระเหินอยู่ต่างประเทศ​ และยังไม่มีความชัดเจนว่าจะวางใครขึ้นมาเป็นแม่ทัพนำลงสนามเลือกตั้ง 

ทั้งแรงแซะ แรงดูด แรงกดดันที่เกิดขึ้น ทำให้หลายคนเตรียมสละเรือไปตั้งพรรคใหม่ เพื่อลดแรงกดดันในฐานะคู่ขัดแย้งกับ คสช.โดยตรง ซึ่งจะง่ายต่อตัวเองในการลงพื้นที่หาเสียง 

ยังไม่รวมกับเรื่องความได้เปรียบทั้งอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของ คสช.​ ในวันที่พรรคการเมืองต่างๆ ถูกกดไม่ให้ออกมาเคลื่อนไหวตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ​เมื่อรวมกับอำนาจรัฐที่มีทั้งกลไก เครือข่าย และงบประมาณในมือย่อมสร้างความได้เปรียบเหนือพรรคการเมืองอื่นๆ เป็นอย่างมาก

ยิ่งระยะหลังรัฐบาล คสช.เร่งอัดฉีดเม็ดเงินผ่านโครงการประชารัฐและไทยนิยมยั่งยืน ย่อมทำให้คะแนนนิยมที่เคยลดลงในอดีตกลับมากระเตื้องดีขึ้น

ขณะที่พรรคเพื่อไทยเอง นอกจากจะอ่อนแรงจากแรงกดดันภายนอกแล้ว ภายในก็ยังมีปัญหาไม่อาจหลอมรวมเป็นเอกภาพเหมือนที่ผ่านมา ถึงขั้นเกิดปรากฏการณ์เตะสกัดขากันเอง ซึ่งมีแต่จะซ้ำเติมความอ่อนแอที่เป็นอยู่ให้หนักหนาสาหัสขึ้นกว่าเดิม 

การขยับของอดีตนายกฯ​ ทักษิณ รอบนี้จึงเป็นเสมือนสัญญาณปลุกเพื่อไทยให้กลับมาเป็นเอกภาพเตรียมตัว​เดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ในวันที่คู่แข่งอย่างพรรคทหารกำลังแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ 

อีกด้านหนึ่งยังเป็นการส่งสัญญาณไปถึงคนที่กำลังจะตัดสินใจย้ายพรรคตามแรงดูด ให้ต้องคิดหนักขึ้น 

สอดรับกับรายงานข่าวที่ระบุว่า ในงานเลี้ยงนั้น ทักษิณวิเคราะห์สถานการณ์การเมือง ​พรรคเพื่อไทยจะกลับมาได้คะแนนอย่างท่วมท้นแน่นอนและแลนด์สไลด์ที่เคยเป็นของพรรคก็จะยังคงเป็นของพรรค

แต่กระนั้นอดีตนายกฯ ทักษิณ ยากที่จะเคลื่อนไหวได้เต็มที่โดยเฉพาะพฤติกรรมที่เข้าข่าย “ชี้นำ” หรือ “ครอบงำ” ที่จะนำไปสู่การยื่นร้องยุบพรรคได้ 

ปัจจัยต่างๆ ย่อมทำให้บรรยากาศการเมืองต่อจากนี้มีแต่จะเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ