อยากเลือกตั้งปีนี้ "แนวร่วมไม่ปึ้ก ถึงฝั่งยาก"
"การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง คงไม่อาจสามารถบรรลุได้ด้วยตัวเองเหมือนกับม็อบการเมืองที่ผ่านมา แต่ต้องอาศัยปัจจัยอื่นช่วย ซึ่งในที่นี้คงหนีไม่พ้นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ"
"การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง คงไม่อาจสามารถบรรลุได้ด้วยตัวเองเหมือนกับม็อบการเมืองที่ผ่านมา แต่ต้องอาศัยปัจจัยอื่นช่วย ซึ่งในที่นี้คงหนีไม่พ้นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ"
**********************
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
ก้าวเข้าสู่เดือน พ.ค. 2561 ซึ่งเป็นเดือนที่ครบ 4 ปี ของการรัฐประหารล้มรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปรากฏว่ามีความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่น่าสนใจหลายประการ อย่างน้อยที่เห็นแน่ๆ มีด้วยกัน 3 เรื่อง
1.การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ จ.สุรินทร์ และ จ.บุรีรัมย์
เอาจริงๆ แล้วการประชุม ครม.ก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ของรัฐบาลชุดนี้ แต่สำหรับกรณีของบุรีรัมย์และสุรินทร์นั้นกลับแตกต่างไปจากที่อื่นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหนึ่งเพราะเป็นพื้นที่ทางการเมืองของ “เนวิน ชิดชอบ” แกนนำพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีกระแสข่าวเกิดขึ้นมาตลอดว่าพรรคการเมืองพรรคนี้พร้อมจะร่วมผลักดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ อีกสมัย
แม้แต่ละฝ่ายจะต่างปฏิเสธถึงการจับมือเป็นพันธมิตรกันในขณะนี้ เนื่องจากอีกนานกว่าจะถึงช่วงหาเสียงเลือกตั้ง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าทั้ง คสช.และพรรคภูมิใจไทยต่างมีไมตรีจิตกันพอสมควร
2.ความเคลื่อนไหวของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี
เมื่อไม่นานมานี้ อดีตนายกฯ ทักษิณได้เดินทางไปยังประเทศสิงคโปร์ การเฉียดเข้าใกล้ประเทศไทยของทักษิณในครั้งนี้แตกต่างกว่าทุกครั้ง เนื่องจากมีรายงานว่าได้มีอดีต สส.ของพรรคเพื่อไทยเข้าไปพบเป็นจำนวนมาก ซึ่งจำนวนที่ว่ามากนั้นถึงขนาดที่ทักษิณต้องจัดโต๊ะเลี้ยงกันเลยทีเดียว
ขณะเดียวกัน ระหว่างการพบกันของอดีต สส.และทักษิณยังมีรายงานว่าผู้ทรงอิทธิพลทางการเมืองรายนี้ได้กล่าวถึงสถานการณ์บางช่วงบางตอนว่าพรรคเพื่อไทยจะกลับมาชนะเลือกตั้งอีกครั้งอย่างแน่นอน
การไปพบทักษิณของอดีต สส.เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสข่าวว่า คสช.เตรียมตั้งพรรคการเมืองและพร้อมที่จะดูดอดีต สส.เกรดเอที่มีฐานเสียงเข้มแข็งเข้ามาร่วมกับ คสช. ซึ่งกลุ่ม สส.ของพรรคเพื่อไทยหลายกลุ่มต่างก็เป็นเป้าหมายในการดูดของ คสช.เช่นกัน
ดังนั้น โต๊ะจีนระหว่างทักษิณและอดีต สส.ในครั้งนี้ น่าจะช่วยลดอาการเลือดไหลของพรรคเพื่อไทยได้ไม่มากก็น้อย
3.การชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง
เป็นกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ที่กลุ่มคนอยากเลือกตั้งจะแสดงออกตลอดเดือน พ.ค.ไปจนถึงวันที่ 22 พ.ค. ซึ่งล่าสุดได้ประกาศข้อเรียกร้องมาแล้ว 3 ข้อ ประกอบด้วย 1.ต้องจัดการเลือกตั้งภายในเดือน พ.ย. 2561 2.คสช.ต้อง
ลาออกและเปลี่ยนสถานะรัฐบาลไปเป็นรัฐบาลรักษาการ 3.กองทัพต้องยุติการสนับสนุนรัฐบาล คสช. หากข้อเรียกร้องไม่ได้รับการตอบสนองจะเคลื่อนขบวนไปที่ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 22 พ.ค.
การเดินทางของกลุ่มคนเลือกตั้งเดินมาถึงจุดสำคัญ หลังจากพยายามสะสมและเลี้ยงกระแสมาสักระยะ ซึ่งต้องยอมรับว่าภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้กลุ่มคนอยากเลือกตั้งเองไม่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวกมากนัก
การเลือกตั้งตามข้อเรียกร้องของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งนั้นใช่ว่าจะถูกเพิกเฉยจาก คสช. เนื่องจากผู้นำ คสช.ยืนยันมาตลอดว่าการเลือกตั้งเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่ใช่ภายในปีนี้ตามที่กลุ่มมวลชนฝั่งตรงข้าม คสช.ต้องการ
อีกทั้งพฤติกรรมต่างๆ ของ คสช.เองก็สะท้อนให้เห็นว่า คสช.ประสงค์ให้เกิดการเลือกตั้งเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการลงพื้นที่พบประชาชนของบิ๊กตู่ การออกมายอมรับถึงการตั้งพรรคการเมืองและการทาบทามอดีต สส. ซึ่งมาระยะหลังนี้ คสช.เองไม่ได้พยายามสร้างเงื่อนไขเพื่อเลื่อนการเลือกตั้งออกไป
ขณะเดียวกัน ฝ่ายความมั่นคงจะเน้นบทบาทในลักษณะตั้งรับมากกว่าที่จะเปิดเกมรุกกับกลุ่มมวลชน โดยยอมปล่อยให้การชุมนุมเกิดขึ้นได้ เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดสถานการณ์น้ำผึ้งหยดเดียว จึงเลือกเดินเกมแบบรอให้กลุ่มคนอยากเลือกตั้งเดินเกมพลาดและใช้สิทธิล้ำเส้นเมื่อไหร่ ถึงตอนนั้น คสช.ค่อยใช้กฎหมายจัดการอีกที
ด้านพรรคการเมืองที่เป็นปรปักษ์กับ คสช. ก็ไม่ได้อยู่ข้างเดียวกับกลุ่มมวลชนนอกสภา เนื่องจากกำลังเบนเข็มเข้าสู่เส้นทางของการเข้าสู่อำนาจผ่านการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
เมื่อ คสช.พยายามนิ่ง พรรคการเมืองไม่ร่วมด้วย การต่อสู้ของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งก็ถูกทิ้งไว้กลางทาง ดังนั้น หากจะบอกว่าการชุมนุม 22 พ.ค. จะไปถึงจุดแตกหักและสร้างจุดเปลี่ยนได้นั้นคงเป็นเรื่องที่ลำบากพอสมควร
อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยอื่นที่มีผลให้การเลือกตั้งถูกเลื่อนออกไปเช่นกัน คือ การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. และร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญกำลังตัดสินร่างกฎหมาย สว. ในวันที่ 23 พ.ค.
ที่สุดแล้วการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง คงไม่อาจสามารถบรรลุได้ด้วยตัวเองเหมือนกับม็อบการเมืองที่ผ่านมา แต่ต้องอาศัยปัจจัยอื่นช่วย ซึ่งในที่นี้คงหนีไม่พ้นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
หากสุดท้ายปลายทาง ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ร่างกฎหมาย สว.ตกไปทั้งหมด เท่ากับว่าการเลือกตั้งต้องถูกเลื่อนออกไปโดยปริยาย ย่อมมีผลต่อกระแสกดดัน คสช.อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น กลุ่มคนอยากเลือกตั้งอาจต้องเปลี่ยนแนวทางการเคลื่อนไหวไปเรื่องอื่นแทน


