posttoday

เสื้อแดงคุมกมธ.สภา ต่างตอบแทน-เสริมแกร่งรัฐบาล

03 ตุลาคม 2554

เห็นหน้าค่าตาไปกันหมดแล้วสำหรับบัญชีรายชื่อของบุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.)

โดย...ทีมข่าวการเมือง

เห็นหน้าค่าตาไปกันหมดแล้วสำหรับบัญชีรายชื่อของบุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญประจำสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 35 คณะ ภายหลังจากเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาบรรดาพรรคการเมืองที่ได้โควตาต่างได้หารือกันภายในพรรคเพื่อวางคนทำงานในตำแหน่งที่ได้รับเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งขั้นตอนต่อไปในวันที่ 5 ต.ค. จะมีการประชุม กมธ.ทั้ง 35 คณะ เพื่อลงมติบุคคลให้เป็นประธานกมธ.ต่อไปอย่างเป็นทางการตามข้อบังคับการประชุมสภา

เท่ากับว่า นับจากนี้กระบวนการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติจะเดินหน้าอย่างสมบูรณ์ 100% นับจากนี้เป็นต้นไปตลอดของอายุสภามากที่สุด 4 ปี หรือเร็วกว่านั้นขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมปัจจัยทางการเมืองที่มีผลให้อายุของรัฐบาลและสภาสั้นหรือยาวอย่างไร

สำหรับ กมธ.สามัญประจำสภา นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก เป็นช่องทางหนึ่งในตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารนอกเหนือไปจากกลไกขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะข้อสงสัยเกี่ยวกับความโปร่งใสในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล

ขณะเดียวกันยังเป็นช่องทางรับเรื่องร้องทุกข์ของประชาชนในด้านต่างๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นที่ดินทำกินของเกษตรกร การไม่ได้รับความเป็นธรรมจากภาครัฐ เป็นต้น ทั้งนี้การสนองตอบในการแก้ไขสารพัดปัญหาผ่านช่องของ กมธ.สามารถกระทำได้เร็วกว่าช่องทางปกติอย่างราชการด้วยซ้ำ

เนื่องจาก กมธ.มีลักษณะเป็นเหมือนกลไกทางการเมืองที่เชื่อมโยงกับทุกภาคส่วนของราชการอยู่แล้วผ่านการเป็นพรรครัฐบาล ทำให้เมื่อมีปัญหาอะไรขึ้นมาสามารถประสานให้รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงสั่งการให้ผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจงได้โดยตรง เสมือนหนึ่งเป็น “ช่องทางพิเศษ” เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายระหว่างผู้เดือดร้อนและผู้แก้ไขความเดือดร้อนมาพบกันโดยมี กมธ.เป็นตัวกลาง

เสื้อแดงคุมกมธ.สภา ต่างตอบแทน-เสริมแกร่งรัฐบาล

ในทางกลับกัน กลไก กมธ.ก็ได้กลับกลายเป็นอาวุธสำคัญทางการเมืองได้เช่นกัน กล่าวคือ ในปัจจุบันมีการบังคับใช้ พ.ร.บ.คำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. 2554 เป็นที่เรียบร้อย กฎหมายฉบับนี้เปรียบได้กับการติดดาบให้กับ กมธ. เนื่องจากตามกฎหมายนี้ กมธ.ได้กลายสภาพเป็นกึ่งๆ “พนักงานสอบสวน” ตั้งแต่มีอำนาจเรียกบุคคลและเอกสารสำคัญทางราชการได้

ที่สำคัญ หากหน่วยงานไหนไม่ให้ความร่วมมือ ประธาน กมธ.สามารถมีหนังสือกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไป โดยมาตรา 15 กำหนดบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จะเห็นได้ว่าประธาน กมธ.มีความสำคัญและพลังค่อนข้างมากต่อการชี้นำการทำงานของกมธ.ทั้งคณะ

ด้วยเหตุนี้เองจึงอย่าได้แปลกใจว่าทำไมเหตุใดพรรคเพื่อไทยถึงได้วาง สส.ระดับแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จำนวนพอสมควรเข้ามาเป็นประธาน กมธ.สำคัญหลายคณะ

แสดงให้เห็นจากกรณีของ “การุณ โหสกุล” สส.กทม. เข้ามานั่งเป็นประธาน กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ มีอำนาจหน้าที่ดูแลตรวจสอบภาพของนโยบายด้านความมั่นคงของฝ่ายบริหารทั้งหมด พร้อมกันนี้พรรคยังวางให้ นพ.เหวง โตจิราการ สส.บัญชีรายชื่อ พิชิฏ ชื่นบาน สส.บัญชีรายชื่อ อดีตทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาเป็น กมธ.ด้วย

“สุนัย จุลพงศธร” สส.บัญชีรายชื่อ เป็นประธาน กมธ.การต่างประเทศ และมี“จารุวรรณ กุลดิลก” สส.บัญชีรายชื่อ ลูกสาว พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.คมนาคม ร่วมเป็น กมธ. “สุนัย” นับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเสื้อแดงพอสมควร และกรำศึกการเมืองมาเป็นเวลานาน

ส่งผลให้กลายเป็นตัวเลือกเพื่อเอามา “ปะฉะดะ” กับพรรคประชาธิปัตย์ที่หวังจะเล่นงานจุดอ่อนของพรรคเพื่อไทยในงานต่างประเทศอยู่แล้วว่า จะมีการเอื้อประโยชน์บางประการให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ ทั้งเรื่องการคืนหนังสือเดินทางหรือการเจรจาข้อพิพาทกับกัมพูชา

นอกจากนี้ ในส่วนของส่วน กมธ.การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน ก็มีความน่าสนใจเช่นกัน เป็นเพราะในช่วง 12 ปีที่ผ่านมาที่มี ประชา ประสพดี สส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน กมธ. เข้าไปตรวจสอบข้อร้องเรียนของคนเสื้อแดงในช่วงระหว่างรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งในประเด็นของการชุมนุมในกรุงเทพฯ และการเคลื่อนไหวในส่วนภูมิภาค

จากบทบาทดังกล่าว “พล.ต.อ.วิรุฬห์ พื้นแสน” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย จึงเป็นตัวเลือกสำคัญให้มาทำหน้าที่นี้ และประกบด้วย “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” สส.บัญชีรายชื่อ และแกนนำเสื้อแดงคนสำคัญเข้ามาเป็น กมธ. คาดว่าจะมีตำแหน่งเป็นรองประธาน กมธ.เพื่อมาดูผลประโยชน์ของคนเสื้อแดงในเรื่องนี้โดยตรง

การวาง “ณัฐวุฒิ” ให้มาอยู่ใน กมธ.ดังกล่าว กลายเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นว่า นับจากนี้ไปพรรคประชาธิปัตย์จะถูกตรวจสอบอย่างหนัก เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับคนเสื้อแดงว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ความวุ่นวายทั้งหมด

ขณะที่การให้ “ขัตติยา สวัสดิผล” สส.บัญชีรายชื่อ ลูกสาว พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก มาเป็น กมธ.การทหาร ที่มี “อำนวย คลังผา” สส.ลพบุรี เป็นประธานกมธ. แสดงออกถึงลักษณะของการพร้อมรบในทางการเมืองกับกองทัพ ในฐานะที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงต่อการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงภายหลังจากการเสียชีวิตของ เสธ.แดง

แน่นอนว่า กองทัพจะเป็นหอกข้างแคร่ของรัฐบาลชุดนี้ไปอีกนาน เนื่องจากระยะหลังมีรอยร้าวให้เห็นบ้างแล้วนับตั้งแต่การจัดทำบัญชีรายชื่อโยกย้ายนายทหารประจำปี ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถทุบโต๊ะโชว์พลังให้กองทัพได้มากนัก เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ทำให้มีความจำเป็นที่จะใช้ช่องทางของ กมธ.การทหารเข้ามากำราบกองทัพโดยอ้อมแทน เฉพาะอย่างยิ่งกับการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์

นอกเหนือไปจากการให้คนเสื้อแดงเข้ามาใน กมธ.สำคัญๆ แล้วยังจะเห็นได้ว่าใน กมธ.ที่เป็นโควตาประธาน กมธ.ของพรรคประชาธิปัตย์ ปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยคนเสื้อแดงเข้าไปประกบเพื่อเป็นกำแพงป้องกันให้กับรัฐบาลอีกชั้นหนึ่งด้วย

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ กมธ.การตำรวจที่มี “สมชาย โล่สถาพรพิพิธ” สส.ตรัง ประธานกมธ. และ “วิภูแถลง พัฒนภูมิไท” สส.บัญชีรายชื่อ และ “จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศรีษะ” สส.สุรินทร์ สองแกนนำคนเสื้อแดงมาเป็น กมธ.ด้วย

การเล่นเกมนี้ของพรรคเพื่อไทย ด้านหนึ่งย่อมต้องการหาทางเสริมใยเหล็กให้กับเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้มีความแข็งแรงมากที่สุด เพราะระยะหลังมานี้รัฐบาลกำลังเจอร่องมรสุมทางการเมืองค่อนข้างหนัก จากการทำงานที่เริ่มแสดงความไม่ชัดเจนในนโยบายต่างๆ ที่ออกมา หรือภาวะผู้นำของนายกฯ หญิงที่ยังไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไหร่ แสดงให้เห็นได้จากการพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ยอมมาตอบกระทู้ถามสดในสภาของฝ่ายค้าน

ไม่เพียงเท่านี้ ยังเป็นการต่างตอบแทนคนเสื้อแดงเพิ่มเติมด้วย หลังจากไม่มีโควตารัฐมนตรีเพื่อหน้าตาของรัฐบาลและเลี่ยงการเป็นสายล่อฟ้าโดยไม่จำเป็น ส่งผลให้ถึงเวลาที่พรรคต้องแสดงน้ำใจออกมาด้วยการมอบตำแหน่งเหล่านี้

ทั้งหมดคือเหตุผลว่าทำไมพรรคเพื่อไทยถึงตัดสินใจเดินหมากลักษณะนี้