เอ็นดูเขา เอ็นเราต้องไม่ขาด! ใจดีอย่างไรไม่ให้เจ็บ แถมก้าวหน้าในอาชีพ
คนจิตใจดีมักถูกเอาเปรียบอยู่เสมอ แต่ก็ใช่ว่าการเป็นคนใจดีจะมีข้อเสียเสมอไป เพราะงานวิจัยใหม่พบว่านิสัยแบบนี้อาจส่งผลให้ก้าวหน้าในหน้าที่การงานมากกว่าที่คิด
คนที่ยอมสงบดีกว่าจะเอาชนะ คนที่ใจดีโอบอ้อมอารีกับคนรอบตัว เป็นที่รู้กันดีว่ามักถูกเอาเปรียบจากคนรอบข้างอยู่เสมอจนเกิดประโยค ‘โลกนี้ คนดีอยู่ไม่ได้’ ขึ้นมา แต่วิจัยล่าสุดโดย Rong Su รองศาสตราจารย์ด้านการจัดการและการเป็นผู้ประกอบการจากมหาวิทยาลัย Iowa Tippie College of Business กำลังจะหักล้างความเชื่อดังกล่าวลง เพราะเธอค้นพบว่าการเป็นคนใจดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่ทำงานจะช่วยให้บุคคลนั้นก้าวไปสู่ความสำเร็จได้ไวยิ่งขึ้น
เป็นคนใจดีอย่างไรไม่ให้เจ็บ?
งานวิจัยของ Su พบว่าการเป็นคนใจดีนั้นมีหลายรูปแบบ เช่น การยอมโอนอ่อนไปกับสถานการณ์โดยรอบ ไม่โต้แย้ง เหมือนต้นหลิวที่ลู่ไปตามลม การเป็นคนใจดีในรูปแบบนี้อาจไม่ส่งผลดีนักต่อความก้าวหน้าในอาชีพของบุคคลนั้นๆ Su กล่าวว่า ไม่ว่าคนในที่ทำงานจะขอให้ช่วยเรื่องอะไร คนใจดีประเภทนี้จะยอมทำตามคำขอเสมอ แน่นอนว่าพวกเขาต้องการหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น แต่บุคลิกภาพในลักษณะนี้ไม่เป็นผลดีต่อการทำงานในระยะยาว แต่ก็มีอีกลักษณะหนึ่งคือคนที่ใจดีโดยมีแรงจูงใจจากสังคมโดยรอบ บุคคลประเภทนี้จะมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าและเต็มใจยื่นมือเข้าไปให้ความช่วยเหลือกับคนรอบตัว
เรามักจะมีเพื่อนร่วมงานจำนวนหนึ่งที่เต็มใจยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเมื่อเพื่อนร่วมงานคนอื่นป่วย พวกเขาเต็มใจที่จะรับหน้าที่นี้เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับสังคมโดยรวม เราพบว่าบุคคลที่มีพฤติกรรมเอื้อสังคม (Prosocial behaviour) แบบนี้จะส่งผลดีต่อทั้งตัวเขาเองและสังคมการทำงาน
พฤติกรรมเอื้อสังคม (Prosocial behaviour) ดีต่อการทำงานอย่างไร?
พฤติกรรมเอื้อสังคม หมายถึง พฤติกรรมที่บุคคลทำเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยส่วนรวมหรือเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เป็นพฤติกรรมที่กระทำโดยความสมัครใจโดยไม่หวังผลตอบแทนเป็นรูปธรรม (ยกเว้นเสียแต่การได้ความรู้สึกว่าได้ทำสิ่งดี) ซึ่งสามารถแสดงออกมาได้ในหลายลักษณะทั้งการสละกำลังกาย การใช้คำพูดเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น การใช้ความคิดสติปัญญาเพื่อผู้อื่น การมอบสิ่งของหรือแบ่งปันทรัพย์สิน รวมไปถึงการให้อภัยและกำลังใจด้วยเช่นกัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดอย่างเป็นรูปธรรมคือในปี 2018 ที่ผ่านมา แฟนกีฬาชาวญี่ปุ่นช่วยเดินเก็บขยะในสนามแข่งขันฟุตบอลโลกที่ประเทศรัสเซียแม้ไม่มีใครสั่งให้ทำ พฤติกรรมที่ว่าแม้เกิดขึ้นโดยไม่หวังผล แต่แน่นอนว่ามีผู้ได้รับผลประโยชน์มากมาย
พฤติกรรมนี้ยังมีความสัมพันธ์กับความสมบูรณ์ของทรัพยากรในพื้นที่นั้นๆ หากสังคมไหนที่มีแนวโน้มว่าทรัพยากรขาดแคลน ย่อมมีการช่วยเหลือหรือแบ่งปันกันน้อยกว่าในสังคมที่เพียบพร้อม นอกจากนี้ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและบรรทัดฐานต่างๆ ยังมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน อาทิ สภาพสังคมของประเทศอิสราเอลที่เน้นค่านิยมการร่วมมือกันมากกว่าฉายเดี่ยว หรือสังคมแบบอเมริกันที่เน้นการใช้ชีวิตแบบเป็นปัจเจกบุคคล
จากงานวิจัยของ Su เองพบว่า ผู้ที่มีพฤติกรรมเอื้อสังคมส่วนใหญ่มักจะมีสุขภาพจิตที่ดี หาความสุขได้ง่ายจากสิ่งเล็กๆน้อยๆรอบตัวและส่งผลโดยตรงกับประสิทธิภาพการทำงาน ทำให้พวกเขาทำงานได้ดีขึ้น สร้างผลงานได้เยี่ยมยอดกว่าเดิม
“จากผลการประเมินงาน คนกลุ่มนี้ค่อนข้างจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมากกว่าคนอื่นๆ และพวกเขามักได้รับการพิจารณาให้ไต่เต้าในตำแหน่งที่สูงขึ้น เพราะนอกจากเพื่อนร่วมงานจะเห็นถึงศักยภาพในการทำงานแล้ว คนกลุ่มนี้ยังมีความเห็นอกเห็นใจในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน”
แต่ถึงอย่างนั้น การสร้างพฤติกรรมเอื้อสังคมไม่ได้หมายความว่าคุณต้องยอมพลีชีพอุทิศตนเพื่อเพื่อนร่วมงานขนาดนั้น แน่นอนว่าถ้าทำอะไรเกินตัว ประสิทธิภาพการทำงานย่อมตกลงมาอย่างเห็นได้ชัด
เสริมสร้างพฤติกรรมเอื้อสังคมอย่างไร จึงจะเหมาะสม?
พฤติกรรมเอื้อสังคมไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด Jean Piaget นักจิตวิทยาชาวสวิสผู้เชี่ยวชาญในทฤษฎีพัฒนาการทางด้านสติปัญญาชี้ว่า พฤติกรรมเอื้อสังคมขึ้นอยู่กับพัฒนาการด้านสติปัญญา และจะพัฒนาขึ้นตามอายุ โดยในเด็กจะเริ่มมีพฤติกรรมเอื้อสังคมที่เห็นได้ชัดตั้งแต่ 7 ขวบขึ้นไป เพราะลดการคิดแบบยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางลง ก่อให้เกิดความสามารถในการเข้าอกเข้าใจผู้อื่นซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของพฤติกรรมนี้ ซึ่งวิธีการอบรมของครอบครัว การมีปฎิสัมพันธ์กับเพื่อนและคนรอบตัว รวมถึงการได้รับบทบาทหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป จะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีขึ้น
ในส่วนของวัยทำงานที่เหมือนไม้แก่ดัดยาก บางคนอาจเป็นคนที่เชื่อในจุดยืนของตัวเองมาก หรือหัวรั้นไม่ยอมฟังใคร แต่บริบทในการทำงานและแรงจูงใจทางสังคมที่สร้างประโยชน์ร่วมให้กับพวกเขา อาจเป็นตัวช่วยชั้นดีในการสร้างพฤติกรรมเอื้อสังคมได้ เช่น ความต้องการทำให้ลูกค้าพึงพอใจ เพราะมีส่วนได้ส่วนเสียร่วมกันอยู่
องค์กรยังสามารถเฟ้นหาผู้ที่มีพฤติกรรมเอื้อสังคมผ่านการคัดกรองคุณลักษณะของผู้สมัครงาน ด้วยการถามคำถามระหว่างสัมภาษณ์ที่ช่วยให้เห็นถึงทัศนคติของผู้สมัคร เช่น ถ้าเพื่อนร่วมงานต้องการความช่วยเหลือจะทำอย่างไร? มีวิธีจัดการกับปริมาณไหม?
นอกจากนี้บริษัทส่วนใหญ่มักประเมินประสิทธิภาพการทำงานของลูกจ้างที่ปลายทาง อย่างยอดขาย หรือปริมาณงานที่พวกเขาทำ โดยไม่สนใจขั้นตอนระหว่างทาง การเปลี่ยนแนวทางการประเมินมามองว่าพวกเขามีส่วนร่วมกับทีมมากน้อยแค่ไหน การช่วยให้ข้อเสนอแนะและวิธีการว่าทำอย่างไรถึงจะบรรลุเป้าหมาย ปรับเปลี่ยนวิธี performance reviews หรือประเมินผลงานผ่านวิธีการที่พนักงานได้ทำไป เช่น กล่าวชมถึงช่วงเวลาที่พนักงานให้ความช่วยเหลือลูกค้าหรือเพื่อนร่วมงานถือเป็นอีกหนึ่งในวิธีการที่ดีที่จะช่วยส่งเสริมพฤติกรรมเอื้อสังคมได้
จะพูดว่าการเป็นคนจิตใจดีก็มีหลายข้อที่ต้องพิจารณาคงไม่ผิดนัก ทุกอย่างควรเป็นไปตามความเหมาะสม การลดความเห็นแก่ตัวลงแน่นอนว่าสามารถสร้างผลบวกต่อจิตใจและประสิทธิภาพของเราได้มากมาย แต่อะไรที่มันมากเกินไปย่อมไม่ส่งผลดีแน่นอน อย่าลืมว่าทำเท่าที่ไหว และอย่าเสียสละจนเคยตัว เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว


