ท่องเที่ยวเชิงวินาศ
เรื่อง / ภาพ สุธน สุขพิศิษฐ์
ครั้งนี้ขอบ่นดังๆ กับสถานที่ท่องเที่ยวหน่อยครับ เรื่องของเรื่องคือผมชอบดูเว็บไซต์อุปกรณ์ปิกนิกและแคมปิง ซึ่งเว็บไซต์ที่ว่านี้ลิงก์ไปกับเว็บไซต์อื่นเป็นการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ในกระแส และที่อื่นๆ ที่น่าสนใจ เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวรีบๆ ไปเที่ยว
ที่อยู่ในกระแสยอดฮิตคือ ปาย และกำลังมาแรงคือปางอุ๋งที่แม่ฮ่องสอน ส่วนที่อื่นที่กำลังอยู่ในเป้าสายตาและเชียร์ให้รีบไปเที่ยวก็มีน่าน แล้วอีกที่คือ แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่
ผมเข้าไปในเว็บบอร์ดของน่านและแม่แจ่ม ก็มีเรื่องราวที่บอกอะไรบางอย่าง ที่น่านนั้นมีข่าวว่าโรงแรมน่านฟ้า เป็นโรงแรมเก่าแก่สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง ได้เปลี่ยนเจ้าของใหม่เป็นคนกรุงเทพฯ ไปซื้อและทุ่มเงินมากกว่า 20 ล้านบาท ปรับปรุงให้เป็นบูติกโฮเต็ล แล้วยังมีข่าวอีกว่ากำลังจะมีโรงแรมเกิดใหม่อีกหลายโรงแรม นั่นก็เท่ากับว่าเป็นสัญญาณบอกเหตุว่าการท่องเที่ยวน่านต้องบูมแน่
สำหรับเว็บบอร์ดของแม่แจ่ม มีคนโพสต์เข้าไปถามว่า มีโรงแรม บาร์ ร้านอินเทอร์เน็ตหรือไม่ มีคนตอบว่ายังไม่มีโรงแรม มีแต่เกสต์เฮาส์ ไม่มีบาร์ แต่มีร้านคาราโอเกะ 23 แห่งเท่านั้น กำลังจะมีอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ มีมอเตอร์ไซค์และจักรยานให้เช่า แต่แนะนำให้เช่ามอเตอร์ไซค์ดีกว่า
ที่มาสะดุดใจน่านกับแม่แจ่มนั้นเพราะเชื่อว่าอีกไม่นานทั้งสองแห่งนี่ต้องคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวแน่ เพราะน่านกับแม่แจ่มนี่จุดขายใหญ่ก็เป็นธรรมชาติล้วนๆ และยังมีความดิบๆ อยู่มาก เป็นธรรมดาของนักท่องเที่ยวที่ชอบหาที่ใหม่ๆ เหมือนคนเที่ยวผับ ผับไหนมีแมลงสาบขึ้นโต๊ะแล้วก็ไปหาที่ใหม่
ผมเที่ยวน่านกับแม่แจ่มมาสัก 20 กว่าปีมาแล้ว สำหรับน่านนั้นไปตั้งแต่ถนนจากแพร่ไปน่านเป็นถนนแคบๆ มีต้นสักใหญ่ๆ เรียงรายไปตลอดสองข้างทาง ครึ้มขนาดไม่มีแสงลอดผ่าน ยิ่งไม่ค่อยมีรถราวิ่ง น่าวังเวงพิกล ในตัวเมืองโรงแรมเทวราชที่ยังใหม่เอี่ยม โรงแรมน่านฟ้าอยู่ติดกัน ห้องโถงข้างล่างเป็นร้านอาหารกึ่งร้านข้าวต้มกับอาหารตามสั่ง ในตู้กับข้าวต้องมีปลาแม่น้ำน่านแขวนโชว์อยู่ จำชื่อไม่ได้ว่าปลาอะไร แต่ขนาดเท่าน้องๆ ปลาบึก ร้านขายทองที่ไม่ห่างกันนักยังมีเครื่องเงินโบราณขาย มีเงินพดด้วงน่าน และของเชียงแสนขาย ส่วนการออกไปนอกเมืองนั้นไปไกลไม่ได้ ถนนก็ไม่ดีและยังเป็นพื้นที่สีแดงอยู่
ส่วนแม่แจ่มนั้นลงทางอินทนนท์ต้องผ่านป่าร้อนชื้นสมบูรณ์แบบ หมอกต้องคลุมตลอดเวลา ที่ต้นไม้ทุกต้นมีต้นมอสเกาะยั้วเยี้ย ตัวย่านกลางชุมชนเป็นห้องแถวไม้เตี้ยๆ ไปวัดป่าแดดที่นั่นพระวิหารเก่าแบบพื้นถิ่นงามมาก จิตรกรรมฝาผนังถือว่าเป็นหนึ่งใน 12 จิตรกรรมฝาผนังชั้นเยี่ยมของภาคเหนือ จำบ้านหนึ่งซึ่งอยู่ตีนเขาก่อนเข้าเขตพื้นที่ราบ เป็นเรือนกาแลโบราณของแท้ เป็นบ้านร้างมีต้นไม้คลุมจนน่ากลัว สวยมากแต่ให้ซื้อไม่เอา ถึงจะถูกๆ ก็ตาม ไปอีกทีอ้าว เผ่าทอง ทองเจือ ซื้อไปเรียบร้อยแล้ว เห็นว่าต้องทำพิธีบอกกล่าวเจ้าของเก่ากันน่าดู พื้นที่ราบของแม่แจ่มที่เป็นแอ่งล้อมรอบด้วยภูเขา พื้นที่ราบนั้นเวลาหน้าทำนาสวยมาก และยังมีแม่น้ำไหลลดเลี้ยวสมบูรณ์ทั้งวิวและผลผลิต เรียกว่าดิบแต่เป็นความดิบบนความงาม
นั่นเป็นภาพที่ยังไม่เคยลืม ถึงจะไม่อยากให้เปลี่ยนแปลงแต่ก็เป็นไปไม่ได้ ต้องยอมรับความเป็นจริง ใครๆ ก็ชอบไปเหมือนกับที่เราเคยชอบเหมือนกัน แต่ผมไม่อยากให้ที่ดีๆ สวยๆ ต้องกลายเป็นที่เน่าๆ เหมือนแมลงสาบขึ้นโต๊ะตามผับ แล้วนักท่องเที่ยวก็หาที่ใหม่ไปเรื่อยๆ มันต้องมีการควบคุม ต้องมีแผนที่ละเอียดและเข้มข้น โดยคนท้องถิ่นที่รู้เรื่องแผนการควบคุมต้องมีทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น ต้องกำหนดเขตให้ชัดเจน พื้นที่ป่าไม้ พื้นที่เกษตร ที่อยู่อาศัย และย่านการค้า สิ่งแวดล้อมทางสังคม กำหนดสถานบริการ รีสอร์ต ร้านอินเทอร์เน็ต บาร์ คาราโอเกะแยกออกไปจากชุมชน กำหนดเวลาและกำหนดความรับผิดชอบแสง เสียง และขยะ และทางศิลปกรรมกำหนดรูปแบบการก่อสร้างโดยใช้วัสดุให้สอดคล้องกับรูปแบบสถาปัตยกรรมท้องถิ่น พวกอาคารทาสีเหลือง กระเบื้องสีฟ้า สีแดงไม่ให้มี และมุมมองวัดวาอารามต้องไม่มีเสี้ยนหนามวิว
ถ้านักปกครองท้องถิ่นคิดเองไม่เป็น ต้องไปขอให้คนที่รู้จริงมาช่วยคิดช่วยจัดการให้ อย่าให้เหมือนปายที่เน่าเป็นซากศพ ปายดั้งเดิมนั้นดังเพราะฝรั่งแบกเป้บุกเบิกไปเข้าป่าเที่ยวถ้ำ เที่ยวธารน้ำไหลลอดภูเขา ไปผจญภัยปีนถ้ำไปเจอโลงศพไม้ กินอยู่ที่กระต๊อบมุงใบตองตึง ฝรั่งบอกปากต่อปาก ฝรั่งไปมากพี่ไทยก็ตามไป แต่คนไทยไปไม่แบกเป้ แต่แบกวัฒนธรรมคนเมืองหลวงไปด้วย บอกว่ารักธรรมชาติ ฉะนั้นที่พักต้องแอบชิดกับชายเขาชายป่า แต่ต้องสะดวกสบาย มีแอร์ มีน้ำอุ่น มีทีวี มีอาหารเช้า กลางคืนต้องออกมาที่ถนนคนเดิน มีบาร์ มีดนตรี หนักๆ เข้าต้องมีอีเวนต์ เทศกาลหนัง เทศกาลดนตรีแจ๊ซกลางแจ้ง ทั้งหมดเป็นความต้องของคนกรุงทั้งนั้น คนท้องถิ่นนั้นกระจุย ตลาดห้องแถวคนกรุงไปทำโน่น ทำนี่ ที่ดินก็เปลี่ยนเป็นของคนกรุงมือที่ 10 บ้าง มือที่ 20 บ้าง คนปายเจ้าของที่ดินคนแรกได้ค่าที่ดินมูลค่าเท่าขี้ มีแต่คนกรุงที่เสิร์ฟกันเองทั้งนั้น
คนปายได้ก็คือเป็นพนักงานร้านอาหาร เป็นคนงานกวาดถนน เป็นคนงานแบกขยะถุงดำ ที่ข้างในมีถุงพลาสติก กล่องโฟม และเศษกระดาษทิชชู แถมเมื่อเผาขยะคนปายยังต้องดมกลิ่นกันเอง
ความฉิบหายนั้นก็เพราะผู้ปกครองท้องถิ่นแบ๊ะๆ แถมบ้าจี้ ตัวอย่างการฟื้นฟูสนามบินทหารให้เป็นสนามบินพาณิชย์สำหรับเครื่องบินขนาด 12 คนนั่ง เพื่อให้คนมีเงินเช่าเหมาลำจะได้ไปง่ายๆ แล้วอ้างหน้าตาเฉยว่าทำเพื่อสำหรับคนปาย ถ้าป่วยและต้องไปเชียงใหม่แบบฉุกเฉินจะต้องใช้เครื่องบิน เป็นไปได้อย่างไร คนปายได้แต่มองเครื่องบินเหมือนองุ่นเปรี้ยวอยู่แล้ว
ต้นเหตุความเน่าเฟะนั้น ส่วนหนึ่งมาจากสื่อครับ พูดทุกวัน เขียนทุกวัน จะได้ยินเข้าหูหรือได้เป็นตัวหนังสือที่พร่ำว่า
“ฝันว่านอนบนฟูกก็คือนอนบนหมอกบนสวรรค์ที่ปาย” หรือ “เอื้อมไปคว้าไอหมอกมาใส่ที่ใจ” หรือใจจะขาดถ้าต้องกลับจากปาย เหมือนต้องลงจากสวรรค์”ปั้นสรรคำพูดกระตุ้นให้ไปกันเหลือเกินครับ ไม่เคยมีใครพูด ใครเขียนว่าไปปายต้องดูเสาอินทขิลที่ถูกทอดทิ้งเป็นเสาไม้ที่ถูกเบียดอยู่ตรงป้ายชื่อของโรงเรียนปาย หรือดูช่อฟ้าที่เป็นรูปนกหัสดีลิงค์ที่เป็นโฟล์กอาร์ตสมบูรณ์แบบที่วัดน้ำอู ไปดูฮวงจุ้ยการตั้งถิ่นฐานแบบจีนของชุมชนสันติชลของคนจีนอดีตทหารจีนกองพลที่ 93 ที่เลือกทำเลที่ว่านี้เป็นท้องมังกรบนขุนเขามีลำธารไหลตลอดปี ดูบ้านดินแบบจีนที่เป็นเทคนิคการอยู่อย่างสบายบนพื้นที่หนาวๆ บนยอดเขา เรื่องที่เป็นความรู้ไม่ค่อยชวนให้ไปดู แต่กลับชวนไปอยู่รีสอร์ตโน่น รีสอร์ตนี่ กลางคืนมาเดินถนนคนเดิน เข้าบาร์
การเที่ยวปายของคนไทยจึงเหมือนเป็นแฟชั่น ฉาบฉวย ไม่ไปเชย ตามแรงโหมของสื่อ เหมือนกับเมื่อก่อนแนะนำให้ไปเที่ยวผับที่ RCA ต่อมาให้ไปแถวถนนตะนาว ต่อมาก็ชวนไปแถวถนนพระอาทิตย์ ต่อมาชวนไปที่ซอยทองหล่อ ต่อไปเรื่อยๆ
นี่เองที่กลัวว่าวันข้างหน้าทิ้งปายไปแล้ว ชวนไปละเมอฝันที่น่าน ชวนไปขึ้นสวรรค์ที่แม่แจ่ม พอเน่าแล้วก็หาที่ใหม่อีก นี่แหละครับที่อยากบ่นดังๆ ครับ


