บทเพลงผีเสื้อ
คนมาสระแก้วมักคิดถึงตลาดโรงเกลือ ตลาดขายสินค้ามือสองติดขอบชายแดนประเทศกัมพูชา
คนมาสระแก้วมักคิดถึงตลาดโรงเกลือ ตลาดขายสินค้ามือสองติดขอบชายแดนประเทศกัมพูชา
โดย..กาญจน์ อายุ
แต่ก่อนที่จะขับรถเลยไปถึงอรัญประเทศ อยากให้แวะเข้าไปในตัวเมืองสระแก้ว สังเกตตามทางจะมีป้ายเชิญชวนไปดูผีเสื้อที่ปางสีดา ขอให้ขับตามป้ายเหล่านั้นไป เพื่อไปฟังเสียงปีกบินของพวกมันดูว่าจะดังสนั่นก้องป่าปางสีดาขนาดไหน
เส้นทางตามหาผีเสื้อที่ปางสีดาจัดขึ้นประจำทุกปี ระหว่างเดือน พ.ค.ก.ค. ซึ่งอันที่จริงนักท่องเที่ยวสามารถชมผีเสื้อได้ทั้งปี แต่ที่ต้องจำกัดเฉพาะ 3 เดือนนี้ก็เพื่อจำกัดเวลาที่คนจะรบกวนผีเสื้อและเป็นช่วงที่มีผีเสื้อชุกชุม เพราะปลายฤดูร้อนย่างเข้าฤดูฝนจะมีผีเสื้อบินฉวัดเฉวียนให้ชมกันหนาตา ที่อุทยานแห่งชาติปางสีดานี้ขึ้นชื่อว่าเป็น “เมืองผีเสื้อแห่งป่าตะวันออก” มีรายงานว่าพบผีเสื้อกลางวันมากกว่า 400 ชนิด ซึ่งเลขจำนวนนี้สามารถบ่งชี้ได้ถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า เนื่องจากว่ายิ่งพบจำนวนชนิดพันธุ์ของผีเสื้อมากเท่าใด ยิ่งแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่ามากเท่านั้น
วงจรชีวิตของผีเสื้อนั้นเปราะบาง มันจะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าใดขึ้นอยู่กับพืช อาหาร อากาศ แหล่งน้ำ ความชุ่มชื้น และความปลอดภัยจากน้ำมือมนุษย์ แต่ที่ปางสีดามีผีเสื้ออาศัยอยู่มากและหลากพันธุ์ จึงแสดงว่าปางสีดาเป็นพื้นที่ที่มีปัจจัยต่อการดำรงชีวิตอยู่ครบถ้วนนั่นเอง
ป้ายเชิญชวนมาเที่ยวเทศกาลดูผีเสื้อจะทอดยาวตามรายทางมาจนถึงอุทยานฯ หน้าทางเข้ารถทุกคันต้องหยุดจอดเพื่อชำระค่าผ่านทาง คนไทยผู้ใหญ่คนละ 40 บาท เด็กคนละ 20 บาท ชาวต่างชาติผู้ใหญ่คนละ 200 บาท เด็กคนละ 100 บาท พูดกับตัวเองในใจว่าราคาแพงเอาเรื่อง เพราะความตั้งใจคือมาชมความงามของผีเสื้อ ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกแล้วเลี้ยวรถกลับบ้าน และป้ายเชิญชวนที่เย้ายวนให้มาหาก็ไม่ได้บอกไว้สักคำว่าต้องเสียค่าเข้าชม ความรู้สึกที่ต้องเสียเงินเพื่อมาดูธรรมชาติของเรามันคิดเล็กคิดน้อยจนไม่อยากจะเสีย
จากด่านเก็บเงินตรงขึ้นมาจะพบกับน้ำตกปางสีดา ตรงจุดนี้มีการสร้างลานจอดรถ ห้องน้ำ และศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เข้าใจแล้วว่าเงินที่ไม่อยากเสียในตอนแรกเขานำมันมาใช้เพื่ออะไร ก็เพื่อให้ความสะดวกสบายแก่นักท่องเที่ยว น้ำตกแห่งนี้มีน้ำไหลตลอดปี แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำฝน พอดีในช่วงที่ไปคือเดือน พ.ค. เป็นช่วงฝนทิ้งช่วง น้ำที่น้ำตกจึงพอมีไหลเอื่อยๆ ให้เห็น
ประจวบกับในขณะนั้นเพิ่งเกิดเหตุการณ์น่าประหลาดใจแก่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ นั่นคือ การต่อสู้ระหว่างสายพันธุ์งู มุมซ้ายเป็นงูเหลือม มุมขวาเป็นจงอาง ฟัด รัด ฉก รั้งกันสองวันสองคืนกลางแอ่งน้ำที่ปกตินักท่องเที่ยวสามารถลงเล่นได้ เจ้าหน้าที่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังว่า ปกติที่น้ำตกปางสีดาจะไม่พบเจองู เพิ่งได้พบในเดือน พ.ค.ปีนี้เป็นครั้งแรก และพวกมันยังปรากฏตัวในแบบไม่ธรรมดาให้คนเป็นกรรมการตัดสินใจชัยชนะให้ด้วยเสียนี่ โดยการต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เห็นพฤติกรรมและไหวพริบในการต่อสู้ของงูทั้งสองชนิด นั่นคือ งูจงอางจะใช้ลำตัวรัดรอบลำต้นไม้ริมบ่อ ในขณะที่ส่วนหัวรัดลำตัวงูเหลือมไว้ ส่วนงูเหลือมอยู่ในน้ำ และพยายามใช้กล้ามเนื้อที่มีอยู่รอบตัวรัดจงอางให้ลงมาต่อสู้กันในน้ำ แต่จงอางรู้ตัวว่าหากมันลงน้ำมันต้องแพ้งูหลาม มันจึงยังรัดต้นไม้ไว้และฝังเขี้ยวใส่ฝ่ายตรงข้าม การต่อสู้ยืดเยื้อข้ามวันเข้าวันที่สอง ทั้งสองสายพันธุ์ยังคงเหนี่ยวรัดกันไว้ จนในที่สุดเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ก็ได้ประกาศชัยแก่ฝ่ายผู้ชนะผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่รอดต่อไปแก่ “งูจงอาง”
ซึ่งการอยู่รอดของมันสร้างความกังวลแก่เจ้าหน้าที่อุทยานมาก เพราะการมาของมันเป็นอันตรายต่อคน ดังนั้นการไปเยี่ยมเยียนน้ำตกปางสีดาจึงอยู่ได้เฉพาะด้านบน ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ลงไปด้านล่าง เพราะเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ยังเห็นเจ้างูจงอางว่ายน้ำลอยคออยู่เนืองๆ และทางเจ้าหน้าที่ยังมีแผนตรวจสอบพื้นที่อย่างละเอียดเพื่อสำรวจว่างูจงอางตัวนั้นเป็นงูแม่ลูกอ่อนหรือไม่ เพราะพฤติกรรมที่มันทำร้ายงูด้วยกันอาจมีสาเหตุมาจากอารมณ์หวงไข่ หรือหวงอาหารตามธรรมชาติ ซึ่งหากงูจงอางหวงไข่ขึ้นมาจริงๆ มันจะดุร้ายและปกครองอาณาบริเวณอย่างเข้มงวด คนถือมีดถือปืนป้องกันตัวก็อาจต้องแพ้พิษสงของมันเหมือนงูเหลือมตัวนั้น
ณ ขณะนี้จากในขณะนั้น เวลาล่วงมาเกือบถึง 1 เดือนแล้ว ไม่ทราบข่าวคราวว่าชีวิตของงูจงอางนั้นเป็นอย่างไร ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ก่อนลงไปน้ำตกปางสีดา แวะถามไถ่สถานการณ์งูกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ที่นั่งประจำการอยู่บนทางเข้าก่อน หรือเข้าไปถามที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเพื่อความสบายใจและความปลอดภัย
จากเรื่องน่าตื่นเต้นที่น้ำตกปางสีดา จุดถัดไปคือ โป่งผีเสื้อ กม.3 จุดชมความสวยงามของผีเสื้อที่ทางอุทยานได้ล่อมันมาให้แล้ว โป่งผีเสื้อคือแหล่งแร่ธาตุของผีเสื้อ ทำมาจากดินผสมน้ำปลา เกลือ หรือวัตถุดิบชั้นยอดอย่างปลาร้า จำนวนผีเสื้อที่มาจับจองพื้นที่ดูดแร่ธาตุมีมาก และจากการสังเกตดูลายและสีที่ปีกแล้วมีหลากหลายพันธุ์สมคำร่ำลือ พันธุ์ที่เห็นมากคือวงศ์ผีเสื้อหนอนกะหล่ำ ผีเสื้อที่มีปีกสีผืนเป็นสีขาวหรือสีเหลือง ขอบปีกด้านบนเป็นสีดำ ชอบบินกันเป็นกลุ่มเหมือนกลุ่มก้อนสีลอยในอากาศ
จากที่พูดเกริ่นไปในตอนแรกว่า ให้มาลองฟังเสียงผีเสื้อบินว่ามันจะดังก้องป่าหรือไม่ ฉันหลับตาและเงี่ยหูฟังมันบินอย่างตั้งใจ ฉันไม่ได้ยินเสียงขยับปีกแม้แต่น้อย จนนึกว่าพวกมันคงตั้งหน้าตั้งตาดูดกินแร่ธาตุบนดิน แต่เมื่อลืมตา เสียงของผีเสื้อมันแว่วมา เสียงแห่งความงามมันมาจากการสยายปีก กระพือปีก และลวดลายบนปีก มันเหมือนเสียงดนตรีเต้นรำที่เปิดให้สิ่งมีชีวิตอันบางเบานี้ร่ายรำ ฉันรู้สึกแบบที่เขียนจริงๆ ใครไม่เชื่อขอให้ไปลองฟังด้วยตัวเอง
ฉันยืนฟังเพลงผีเสื้ออยู่นาน และนิ่งดูมันดูดกินแร่ธาตุที่มนุษย์มอบให้อย่างนิ่งเฉย แต่พอฉันขยับ พวกมันก็จะขยับตาม บินว่อนเป็นวงกลมก่อนจะกลับมาก้มหน้าสู้ดินเหมือนเดิม ฉันหวนกลับไปคิดถึงค่าผ่านทางที่รู้สึกเสียดายในตอนแรก ตอนนี้ฉันไม่เสียดายแล้ว แต่ฉันกลับรู้สึกว่า “มันคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม”
อิ่มเอิบกับผีเสื้อแล้ว จะขับรถต่อไปยังจุดชมวิวด้านบน แต่ก็ต้องชะงัก เพราะเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ไม่อนุญาตให้ขึ้น ฉันต้องไปทำเรื่องขออนุญาตจากหัวหน้าอุทยานฯ เสียก่อน โดยการไปยังศูนย์ปฏิบัติการ กรอกข้อมูลชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และเหตุผลที่จะขึ้นไปเพื่อความปลอดภัยของตัวนักท่องเที่ยวเอง เพราะด้านบนจะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ หากเกิดอุบัติเหตุใดๆ จะได้ทราบแน่ชัดว่าเป็นใคร มาจากไหน
จากโป่งผีเสื้อ กม.3 ถึงจุดชมวิวที่อยู่ยอดสุดของอุทยานแห่งขาติปางสีดากินเวลาประมาณ 45 นาที ขับรถไปมีผีเสื้อบินตัดหน้ารถไปมาเหมือนมีผีเสื้ออยู่ทุกที่ที่ปางสีดา ทิวทัศน์ที่จุดชมวิวคือบริเวณอุทยานแห่งชาติฯ เกือบทั้งหมดเป็นภาพเขียวชอุ่มและเหลืองทองจากแสงอาทิตย์ และทั่วบริเวณก็มีกลุ่มผีเสื้อรวมตัวกันดูดแร่ธาตุตามธรรมชาติเป็นหย่อมๆ ฉันว่าหากมาช่วงปลายปีน่าจะสบายตัวกว่า เพราะหน้านี้ลมสงบไม่ไหวติง แลกมากับการได้ดูผีเสื้อได้นาน และใกล้ชิดติดลายปีกไม่พัดปลิวไปกับสายลมแรง
เพลงผีเสื้อที่ฉันได้ยินดังไล่มาตั้งแต่ตีนเขาจนยอดเขา กระทั่งจากอุทยานแห่งชาติปางสีดามาแล้วเสียงก็ยังแว่วอยู่ในหู ภาพก็ยังติดตรึงตา จนมากระทบกับภาพใหม่ที่อ่างเก็บน้ำพระปรง สถานที่ในการนั่งเรือชม “นกงู” นกงูที่ว่าไม่เกี่ยวอะไรกับงูอีกแล้ว แต่ชื่องูมาจากทรวดทรงคอของนกที่งอโค้งคล้ายงูเลื้อย พวกมันจะออกหาปลาในอ่างเก็บน้ำพระปรง พบมากในช่วงเช้าก่อนเที่ยงช่วงเดือน มิ.ย.ก.ค. วิธีการดูนกงูก็เหมือนกับการดูนกทั่วไป คือห้ามส่งเสียงดังและห้ามทำตัวให้เป็นที่สังเกต การไปดูนกงูนี้ต้องนั่งเรือเครื่องและลอยอยู่บนน้ำ ดังนั้นคนเรือจึงต้องดับเครื่องทันทีที่เห็นมัน และค่อยๆ พายเรือเข้าไปหามันทีละน้อย ส่วนคนดูก็ห้ามส่งเสียงตื่นเต้นดีใจ เพราะเสียงดังเพียงเล็กน้อยก็ทำให้นกตกใจบินหนีไปได้ คนดูก็อาจจะร้องเสียดายแทน
ขนาดของนกงูค่อนข้างใหญ่ กินปลาในอ่างเก็บน้ำเป็นอาหาร โดยมันจะดำลงไปใต้น้ำ และพาเหยื่อขึ้นมากลิ้งลงคอบนกิ่งไม้ ที่อ่างเก็บน้ำพระปรงนี้มีกิ่งไม้กลางน้ำเยอะ เพราะเคยเป็นพื้นที่ป่ามาก่อน ทำให้มีนกน้ำมาเกาะหาเหยื่อมาก นอกจากนกงูแล้ว ยังพบกาน้ำเล็ก เหยี่ยว นกขุนทอง ให้ชื่นชมด้วย
มาถึงเรื่องของนก ขอพาไปชมนกกันต่อที่สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าช่องกล่ำบน ความคิดที่ว่านกเงือกใกล้สูญพันธุ์ค่อยมีความหวังขึ้นมา เพราะที่ศูนย์มีนกเงือกหลายสายพันธุ์ไว้เป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์หลายคู่ เป็นสัตว์ที่หลายคนอยากเห็นมานาน เพราะมันยากหนักหนาที่จะได้เห็นมัน แต่เมื่อได้ดูแล้วก็นึกสงสารพวกมันอยู่บ้าง เพราะพวกมันเป็นสัตว์ป่าตัวใหญ่ ต้องการพื้นที่ในการบิน ความกว้างของกรงที่ค่อนข้างแคบเมื่อเทียบกับตัวมันดูแล้วอึดอัดมิใช่น้อย พวกมันเป็นนกที่เสียสละ ถูกนำมาใช้ในการขยายพันธุ์ ดังนั้นถ้าจะกักบริเวณมัน น่าจะให้พวกมันอยู่ในบริเวณที่สูงและกว้างเหมาะสมกับนิสัยธรรมชาติเสียหน่อย เพราะไม่เช่นนั้นประเทศไทยอาจให้กำเนิดนกเงือกสายพันธุ์ใหม่ที่บินไม่ได้ กระโดดได้อย่างเดียว
และที่นี่ยังมีสัตว์ที่เลี้ยงไว้อีกหลายชนิด ทั้งนกยูง หมีขอ กวางป่า งูหลาม ไก่ฟ้า ลิง หมาป่า หมูป่า นกแก๊ก นกกก เป็ดก่า แต่ละตัวอยู่ในกรงคล้ายในสวนสัตว์ดุสิต แต่ขนาดพื้นที่เล็กกว่า และที่นี่ไม่ต้องเสียค่าบริการแต่อย่างใด
ผู้ที่ชวนเชิญมาสระแก้วครั้งนี้มาจากกลุ่มสห+ภาพ ที่เชิญมาร่วมงานสระแก้วขึ้นกล้อง งานแสดงภาพถ่ายสระแก้วโดยช่างภาพในกลุ่มสห+ภาพนั้น จากการเดินชมผลงานมันทำให้เห็นสระแก้วกว้างขึ้น ภาพที่เห็นด้วยตัวเองไปแล้วคือ ผีเสื้อ ปางสีดา นกงู นกเงือก และบรรยากาศโดยรวมในสถานที่ที่ไป ภาพที่จัดแสดงมันทำให้เห็นสระแก้วเพิ่มเติมถึงภาพวัดวาราม พระพุทธศาสนา คนเฒ่าคนแก่ หรือความผูกพันระหว่างคนกับควาย คำว่าภาพหนึ่งภาพสามารถอธิบายได้ดีกว่าถ้อยคำมันเป็นเรื่องจริง
และหลังจากพ้นผ่านการทำความรู้จักสระแก้วไปประมาณ 2 อาทิตย์ ได้มีโอกาสกลับมาทักทายสระแก้วอีกหน แต่ครั้งนี้ขอขึ้นไปคุยกันบนก้อนเมฆตามคำเชิญชวนของ บริษัท อีสต์ วอร์เทอร์ ให้มาดูวิธีการการทำฝนหลวง หลายคนคิดในใจว่าจะผลิตฝนไปทำไม ในเมื่อช่วงนี้ฝนตกอยู่ทุกวัน นั่นเพราะฝนมันตกไม่ทั่วฟ้า ในบางพื้นที่ยังต้องการน้ำฝนมาช่วยในการทำเกษตร เช่นที่นายทวี กาญจนา ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงที่ 6 (ภาคตะวันออก) อธิบายจุดที่ต้องทำฝนหลวงว่า บางพื้นที่อยู่หลังแนวเขา ฝนตกน้อย บางพื้นที่เป็นไร่ข้าวโพด ต้องการน้ำมากในช่วงต้นข้าวโพดออกฝัก หรือในบางพื้นที่เป็นอ่างเก็บน้ำที่นำน้ำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรม พื้นที่เหล่านี้ต้องการน้ำฝนในปริมาณมาก ซึ่งตามธรรมชาติอาจให้ได้ไม่เพียงพอ การทำฝนหลวงจึงจำเป็นต่อพืชผลและมนุษย์เหล่านั้น
การทำฝนหลวงแต่ละครั้งใช้เงินประมาณ 3-4 หมื่นบาท เป็นจำนวนตัวเลขที่น่าตกใจมาก เพราะหากนำมาคูณจำนวนวันที่ต้องทำทุกวันแล้ว รวม 1 เดือนต้องใช้เงินทำฝนหลวงสูงสุด 1.2 ล้านบาท นายทวีบอกว่า 1 ปีจะทำฝนหลวง 6 เดือน คือเดือน ก.พ.-เม.ย. และเดือน มิ.ย.-ส.ค. คิดแล้ว 1 ปี ศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงที่ 6 มีงบประมาณลงทุนทำฝนหลวงกว่า 7.2 ล้านบาท
วงเงินจำนวนนี้คืองบฝนหลวงในเขตภาคตะวันออกเท่านั้น เมื่อฟังแล้วคนใต้ฟ้าอย่างเราคงต้องสำนึก “มูลค่า” ของฝนไว้ให้มาก และใช้มันให้มี “คุณค่า” สำหรับคนกรุงเทพฯ คงลองน้ำฝนมาดื่มไม่ได้ เพราะมลพิษในอากาศทำให้ฝนกลายเป็นฝนกรด อันตรายต่อสุขภาพ แต่ก็สามารถลองใช้ซักเสื้อผ้า รดน้ำต้นไม้ในวันที่ไม่มีฝนยังทำได้อยู่ ส่วนคนต่างจังหวัดที่มีพืชสวนไร่นาก็จะได้ใช้น้ำฝนหลวงไปใช้ในการเพาะปลูก และชาวบ้านสามารถรองน้ำใส่ตุ่มไว้ดื่มกันได้ ไม่เหมือนคนในกรุงเทพฯ ที่ต้องเสียเงินซื้อน้ำเปล่า
ขั้นตอนการทำฝนหลวงมี 4 ขั้นตอน ขั้นแรก คือ การปล่อยบอลลูนสำรวจอากาศ รูปร่างคล้ายลูกโป่งสวรรค์ยักษ์สีขาว เพื่อสำรวจว่าบริเวณใดมีเมฆมากเมฆน้อย และลมด้านบนพัดไปทางไหน เพื่อนำมาเป็นข้อมูลได้ถูกต้องว่าควรไปปฏิบัติการที่ใดที่มีแนวโน้มทำฝนหลวงได้สำเร็จ (ถ้าทำแล้วไม่สำเร็จ เงินหมื่นก็หายไปด้วย)
ขั้นตอนที่สอง คือ ขึ้นเครื่องบินบรรทุกสารเคมีทำฝนหลวงไปสร้างเมฆ เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนที่สาม คือ การทำให้อ้วน ฝนจะเกิดขึ้นได้ต้องมีเมฆมาก เพื่อให้เมฆควบแน่นความชื้นในอากาศเกิดเป็นหยดน้ำกลายเป็นฝน และเมื่อเมฆอ้วนท้วนสมใจก็ถึงเวลาโจมตีในขั้นตอนสุดท้าย คือเร่งให้เมฆควบแน่นสร้างเม็ดฝนโปรยปรายสู่ผืนดิน
การทำฝนหลวงมิใช่ว่าจะทำได้ทุกที่ เพราะหากพื้นที่ใดเป็นทะเลทรายหรือที่โล่งเตียน การก่อเมฆจะทำไม่ได้ เพราะไม่มีความชื้นจากพื้นดินส่งขึ้นไป แต่ถ้าด้านล่างเป็นแม่น้ำ ทะเล หรือพื้นที่ป่าจะเกิดฝนได้ง่ายกว่า เพราะมีความชุ่มชื้นสูงกว่านั่นเอง
ฉันได้นำเรื่องการทำฝนหลวงไปเล่าให้คนพื้นที่แถวอรัญประเทศฟัง นึกว่าเธอจะยินดีที่มีฝนหลวง แต่เธอกลับพูดด้วยความสงสัยว่า จะทำฝนหลวงไปทำไม ในเมื่อฝนก็ตกอยู่ทุกวัน ฉันไม่กล้าตอบว่าฝนที่ตกอยู่อาจเป็นฝนหลวงก็ได้ เพราะไม่มีอะไรบอกได้ว่าฝนที่ตกลงมามาจากการกระตุ้นของสารเคมี หรือมาจากธรรมชาติล้วนๆ แต่เรื่องใช่หรือไม่ใช่ฝนหลวงหรือเปล่านั้นไม่ใช่เรื่องที่นำมาเป็นประเด็นในการสนทนาครั้งนี้ เพราะเรื่องจำนวนนักท่องเที่ยวคนไทยที่ใช้บริการบริษัททัวร์ในช่วงกรีนซีซันมีเลขเป็นศูนย์นั้นสำคัญกว่า ที่ทราบนั้นเพราะคนพื้นที่ที่คุยด้วยเป็นเจ้าของบริษัททัวร์ ที่ตอนนี้กำลังว่างไม่มีลูกค้าเข้า จะมีบ้างก็กลุ่มชาวเอเชียที่เฉลี่ยแล้ว 10 คนต่อเดือน ผิดกลับช่วงไฮซีซันที่จะมีลูกค้ามาก ส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกันที่ถือโอกาสเที่ยวทั้งในไทยและกัมพูชา
สถานการณ์ไทยกัมพูชายังคุกรุ่น คนชายแดนทั้งสองฝั่งยังเสียขวัญ นักท่องเที่ยวหายไปตามฤดูกาล ความสวยงามยังบินวนว่อน ปักษายังหาปลา มนุษย์สังคมตึงเครียด ธรรมชาติดำเนินไปตามวัฏจักร ความสุขจากธรรมชาติยังรอคอย ความสุขในใจยังตามหา...บทเพลงผีเสื้อ


