5 หนังสือดีที่ชาวพุทธควรอ่าน (ตอนจบ)
สัปดาห์ที่แล้วเชิญชวนให้อ่านหนังสือ ที่ได้นำเสนอไปแล้ว 3 เล่ม คือ พระไตรปิฎก พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน และคุณลักษณะพิเศษแห่งพระพุทธศาสนา สัปดาห์นี้มาเชิญชวนต่ออีกสองเล่มที่เหลือ....
สัปดาห์ที่แล้วเชิญชวนให้อ่านหนังสือ ที่ได้นำเสนอไปแล้ว 3 เล่ม คือ พระไตรปิฎก พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน และคุณลักษณะพิเศษแห่งพระพุทธศาสนา สัปดาห์นี้มาเชิญชวนต่ออีกสองเล่มที่เหลือ....
เรื่อง : ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย
สัปดาห์ที่แล้วเชิญชวนให้อ่านหนังสือ ที่ได้นำเสนอไปแล้ว 3 เล่ม คือ พระไตรปิฎก พระไตรปิฎกฉบับสำหรับประชาชน และคุณลักษณะพิเศษแห่งพระพุทธศาสนา สัปดาห์นี้มาเชิญชวนต่ออีกสองเล่มที่เหลือ
4.หลักชาวพุทธ (ชาวพุทธที่ดีต้องมีมาตรฐาน)
ในทางสถิติ เราทราบกันดีว่า มีคนไทยกว่า 95% เป็นชาวพุทธ แต่ในทางปฏิบัติจะมีคนที่เป็นชาวพุทธจริงๆ กันสักกี่เปอร์เซ็นต์ ทุกวันนี้ สังคมไทยเต็มไปด้วยปัญหามากมาย แต่พอเกิดมีปัญหาอะไรที่หนักหนาสาหัสเกิดขึ้นมาจนทำท่าว่าจะแก้ไขกันไม่ได้ คนไทยไม่น้อยก็มักเลือกที่จะกล่าวโทษพุทธศาสนา เช่น เรามักได้ยินคำอุทานด้วยความสิ้นหวังเชิงประชดประเทียดอยู่บ่อยๆ ว่า “นี่หรือเมืองพุทธ...” หรือบางทีก็ตั้งข้อสังเกตกันแรงๆ ว่า “เป็นเมืองพุทธ ทำไมจึงทรุดลง” การที่ชาวพุทธจำนวนมาก กล่าวโทษพุทธศาสนาเช่นนี้ก็เป็นเพราะว่า เขาเหล่านั้นไม่รู้จักพุทธศาสนา ไม่ได้นำเอาพุทธศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวัน หรือที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าการเป็นชาวพุทธนั้น ต้องมีแนวทางปฏิบัติอย่างไรบ้าง
เพื่อแก้ปัญหาชาวพุทธด้อยคุณภาพดังกล่าวมานี้เอง พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) จึงเรียบเรียงหนังสือ “หลักชาวพุทธ” ขึ้นมาให้เป็นแนวทางสำหรับยึดเป็นหลักแม่บทในการปฏิบัติตนของชาวพุทธ 12 ข้อ ซึ่งเมื่อใครก็ตามปฏิบัติตามหลักแม่บทของการเป็นชาวพุทธทั้ง 12 ข้อได้เป็นอย่างดี คนคนนั้นก็จะได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธชั้นนำ และย่อมจะได้รับประโยชน์จากพุทธศาสนาอย่างคุ้มค่าที่สุด
วรรคทองของหนังสือ
หลักชาวพุทธ
หลักการ
1.ฝึกแล้วคือเลิศมนุษย์ : ข้าฯ มั่นใจว่า มนุษย์จะประเสริฐเลิศสุด แม้กระทั่งเป็นพุทธะได้ เพราะฝึกตนด้วยสิกขา คือการศึกษา
2.ใฝ่พุทธคุณเป็นสรณะ : ข้าฯ จะฝึกตนให้มีปัญญา มีความบริสุทธิ์และมีเมตตา ตามอย่างองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
3.ถือธรรมะเป็นใหญ่ : ข้าฯ ถือธรรม คือความจริง ความถูกต้อง ดีงาม เป็นใหญ่ เป็นเกณฑ์ตัดสิน
4.สร้างสังคมให้เยี่ยงสังฆะ : ข้าฯ จะสร้างสรรค์สังคมตั้งแต่ในบ้าน ให้มีสามัคคี เป็นที่มาเกื้อกูลร่วมกันสร้างสรรค์
5.สำเร็จด้วยกระทำความดี : ข้าฯ จะสร้างความสำเร็จด้วยการกระทำที่ดีงามของตน โดยพากเพียรอย่างไม่ประมาท
ปฏิบัติการ
ข้าฯ จะนำชีวิต และร่วมนำสังคมประเทศชาติไปสู่ความดีงาม และความสุขความเจริญ ด้วยการปฏิบัติ ดังต่อไปนี้
ก) มีศีลวัตรประจำตน
1.บูชาบูชนีย์ : มีปกติกราบไหว้ แสดงความเคารพต่อพระรัตนตรัย บิดามารดา ครูอาจารย์ และบุคคลที่ควรเคารพ
2.มีศีลห่างอบาย : สมาทานเบญจศีล ให้เป็นนิจศีลคือหลักความประพฤติประจำตัว ไม่มืดมัวด้วยอบายมุข
3.สาธยายพุทธมนต์ : สวดสาธยายพุทธวจนะหรือบทสวดมนต์ โดยเข้าใจความหมาย อย่างน้อยก่อนนอนทุกวัน
4.ฝึกฝนจิตด้วยภาวนา : ทำจิตใจให้สงบ ผ่องใส เจริญสมาธิ อันค้ำจุนสติที่ตื่นตัว หนุนปัญญาที่รู้ทั่วชัดเท่านั้น และอธิษฐานจิตเพื่อจุดหมายที่เป็นกุศล วันละ 5-10 นาที
ข) เจริญกุศลเนืองนิตย์
5.ทำกิจวัตรวันพระ : บำเพ็ญกิจวัตรวันพระ ด้วยการตักบาตร หรือแผ่เมตตา ฟังธรรม หรืออ่านหนังสือธรรม โดยบุคคลที่บ้าน ที่วัด ที่โรงเรียน หรือที่ทำงาน ร่วมกัน ประมาณ 15 นาที
6.พร้อมสละแบ่งปัน : เก็บออมเงิน และแบ่งมาบำเพ็ญทาน เพื่อบรรเทาทุกข์ เพื่อสนับสนุนกรรมดี อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
7.หมั่นทำคุณประโยชน์ : เพิ่มพูนบุญกรรม บำเพ็ญประโยชน์ อุทิศแด่พระรัตนตรัย มารดาบิดา ครูอาจารย์ และท่านผู้เป็นบุพการีของสังคมแต่อดีตสืบมา อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
8.ได้ปราโมทย์ด้วยไปวัด : ไปวัดชมอารามที่รื่นรมย์ และไปร่วมกิจกรรมทุกวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา และวันที่สำคัญของครอบครัว
ค) ทำชีวิตให้งามปราณีต
9.กินอยู่พอดี : ฝึกความรู้จักประมาณในการบริโภคด้วยปัญญาให้กินอยู่ดี
10.มีชีวิตงดงาม : ปฏิบัติกิจส่วนตัว ดูแลของใช้ของตนเอง และทำงานชีวิต ด้วยตนเอง ทำได้ ทำเป็น อย่างงดงามน่าภูมิใจ
11.ไม่ตามใจจนหลง : ชมรายการบันเทิงวันละไม่เกินกำหนดที่ตกลงกันในบ้าน ไม่มัวสำเริงสำราญปล่อยตัวให้เหลิงหลงไหลไปตามกระแส สิ่งล่อเร้าชวนละเลิง และมีวันปลอดการบันเทิงอย่างน้อยเดือนละ 1 วัน
12.มีองค์พระครองใจ : มีสิ่งที่บูชาไว้สักการะประจำตัว เป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย และตั้งมั่นอยู่ในหลักชาวพุทธ
(หน้า 55-56)
5.เชื่อกรรม รู้กรรม แก้กรรม
ทุกวันนี้ มีผู้อ้างตัวว่าเป็นผู้รู้บ้าง เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณบ้างอยู่มากมายในสังคมไทย บรรดากูรูเหล่านี้ต่างก็พากันนำเอาคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ออกมาเผยแผ่แก่ประชาชนจนได้รับการเคารพ นับถือ ยกย่อง อย่างกว้างขวาง มีศิษยานุศิษย์เลื่อมใสศรัทธามากมาย แต่ก็นั่นแหละ ในบรรดาผู้นำทางจิตวิญญาณเหล่านี้ บางคนก็เผยแผ่พุทธศาสนาถูกต้องตรงตามพระธรรมวินัย แต่บางคน บางสำนัก ก็เชื่อผิด รู้ผิด สอนผิด และนำประชาชนไปในทางที่ผิดจนเกิดความเสื่อมเสียทั้งแก่ตน แก่สังคม และแก่สถาบันศาสนาโดยรวม
ปัญหาประการหนึ่งที่มีการเชื่อผิด รู้ผิด สอนผิดกันมากที่สุดในสังคมไทยก็คือ ความเชื่อเรื่องกรรม หรือกฎแห่งกรรม ที่มีการเข้าใจวิปลาสคลาดเคลื่อนกันไปไกลถึงขนาดที่เรียกได้ว่า “ออกทะเล” ก็คงได้ แต่ถึงจะมีการเชื่อผิด สอนผิดอยู่เสมอ แต่ถึงกระนั้น ก็มีผู้ที่รู้เท่าทันน้อยมาก เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้ถูกต้อง พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) จึงเขียนหนังสือชื่อ “เชื่อกรรม รู้กรรม แก้รรม” ออกมาเผยแผ่แก่ประชาชนทั่วไป
ใครก็ตามที่อยากรู้ว่า หลักกรรมตามแนวพุทธเป็นอย่างไร หรืออยากรู้ว่า การแก้กรรมตามแนวพุทธต้องทำอย่างไร หากได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ความสงสัยดังกล่าวจะได้รับการอธิบายอย่างแจ่มกระจ่างและจะไม่ตกเป็นเหยื่อของลัทธิกรรมพาณิชย์อีกต่อไป
วรรคทองของหนังสือ
สามลัทธิที่ขัดต่อหลักกรรม
ภิกษุทั้งหลาย ลัทธิเดียรถีย์ 3 ลัทธิเหล่านี้ ถูกบัณฑิตไต่ถามซักไซ้ไล่เลียงเข้า ย่อมอ้างการถือสืบๆ กันมา ดำรงอยู่ในอกิริยา (การไม่กระทำ) คือ
1.สมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตามที่คนเราได้เสวย ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเพราะกรรมที่กระทำในปางก่อน (ปุพเพกตวาท) = ลัทธิกรรมเก่า
2.สมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตามที่คนเราได้เสวย ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเพราะการบันดาลของพระผู้เป็นเจ้า (อิศวรนิรมิตวาท) = ลัทธิเทพเจ้าบันดาล
3.สมณพราหมณ์พวกหนึ่งมีวาทะ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตามที่คนเราได้เสวย ทั้งหมดนั้นล้วนหาเหตุปัจจัยมิได้ (อเหตุวาท) = ลัทธิบังเอิญ
(หน้า 14-16)
การแก้กรรมตามแนวพุทธแท้
พระพุทธองค์ตรัสว่า
“เราจะแสดงกรรมเก่า กรรมใหม่ ความดับกรรม และทางดับกรรม...
กรรมเก่าคืออะไร? จักขุ(ตา) โสตะ(หู) ฆานะ(จมูก) ชิวหา(ลิ้น) กาย มโน(ใจ) นี้ชื่อว่ากรรมเก่า;
อะไรชื่อว่ากรรมใหม่ การกระทำที่เราทำอยู่ในบัดนี้ นี่แหละชื่อว่ากรรมใหม่
อะไรคือความดับกรรม? บุคคลสัมผัสวิมุตติ เพราะความดับแห่งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมนั้นชื่อว่าความดับกรรม; (=การหลุดพ้นจากกิเลส คือ ภาวะดับกรรม)
อะไรเป็นทางดับกรรม? มรรคมีองค์ 8 ประการอันประเสริฐคือ สัมมาทิฏฐิเป็นต้น สัมมาสมาธิเป็นปริโยสาน นี้เรียกว่า ทางดับกรรม”
(หน้า 19)
ลองพิจารณาพระพุทธวัจนะดูเถิด แล้วจะรู้ด้วยตนเองว่า หลักกรรมและวิธีแก้กรรมที่สอนกันอยู่ในสังคมไทยของเราในเวลานี้ ผิดเพี้ยน หรือวิปลาสคลาดเคลื่อนออกไปจากหลักการที่แท้ของพระพุทธศาสนามากน้อยเพียงไร


