5 วิธีเยียวยาเด็กจากภาวะช็อก ตกใจ กลัว
เด็กที่ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายระทึกขวัญ หากไม่ได้รับการเยียวยาดูแลหลังเกิดเหตุการณ์อันเลวร้ายในทันที ไม่เป็นผลดีกับเด็กอย่างแน่นอน
เด็กที่ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายระทึกขวัญ หากไม่ได้รับการเยียวยาดูแลหลังเกิดเหตุการณ์อันเลวร้ายในทันที ไม่เป็นผลดีกับเด็กอย่างแน่นอน
เรื่อง...วรธาร
เด็กที่ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายระทึกขวัญ เช่น ภัยพิบัติธรรมชาติ อุบัติเหตุ หรือโศกนาฏกรรม ย่อมได้รับผลกระทบกระเทือนทางจิตใจและเกิดภาวะต่างๆ ได้ เช่น ภาวะช็อกทางจิตใจ ภาวะตกใจและหวาดกลัว กลายเป็นคนตกใจง่ายจากเสียงดัง ขาดสมาธิ และมักจะมีอาการเงียบ สับสน งง อารมณ์เฉยชา ขาดการตอบสนอง หากไม่ได้รับการเยียวยาดูแลหลังเกิดเหตุการณ์อันเลวร้ายในทันที ไม่เป็นผลดีกับเด็กอย่างแน่นอน
อาการที่เกิดจากภาวะช็อก ตกใจ
พญ.อังคณา อัญญมณี จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลมนารมย์ กล่าวว่า ภาวะจิตใจหลังภัยพิบัติ อุบัติเหตุ เด็กรอดชีวิตมาได้จากการเผชิญเหตุการณ์โดยตรง เช่น ถูกคลื่นหรือกระแสน้ำพัดพาแยกจากพ่อแม่พี่น้อง จะเกิดอาการหวาดกลัว ตกใจง่ายเหมือนตัวเองอยู่ในเหตุการณ์นั้น หรือถ้าในเด็กโตบางคนจะรู้สึกผิดที่ตัวเองรอดชีวิตมาได้ แต่ไม่สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ และคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ชักชวนให้ไปเที่ยวที่นั่น ซึ่งหากปล่อยไว้นานๆ โดยไม่ได้รับการเยียวยารักษาก็อาจทำให้เด็กเข้าสู่ภาวะซึมเศร้าและฆ่าตัวตายได้
คุณหมออังคณา กล่าวต่อว่า อาการที่ปรากฏจะซึมเศร้าต่อเนื่อง 2 สัปดาห์แรก และมักเกิดอาการหลายอย่าง เช่น ไม่ร่าเริง เบื่อหน่าย ท้อแท้ ขาดความสุข เบื่ออาหาร น้ำหนักลด นอนไม่หลับ สมาธิสั้น หมดแรง เหนื่อยหน่าย คิดว่าตัวเองเป็นภาระผู้อื่น เบื่อชีวิต คิดมาก อยากตาย และคิดฆ่าตัวตายได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจมีผลต่อการเรียนหรือพัฒนาการบุคลิกภาพในระยะยาวอย่างแน่นอน
“เด็กที่อยู่ในเหตุการณ์เหล่านี้จะรู้สึกว่าตัวเองควบคุมอะไรไม่ได้ เกิดความกลัว แต่ผู้ใหญ่ก็ต้องดูแลให้เขารู้สึกปลอดภัย มั่นคง จะดีขึ้น ค่อยๆ ดีขึ้น ทุกคนต้องช่วยกันพร้อมให้ความช่วยเหลือเขา ส่วนเด็กที่มีลักษณะกังวลมากๆ ต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะเสี่ยงต่ออาการทางจิตเวช เรียกว่า Posttraumatic Stress Disorder (PTSD) ซึ่งตรงนี้จะเป็นภาวะที่รุนแรง จะมีลักษณะตื่นตระหนกและตกใจง่าย เหมือนได้ยินเสียงอะไรที่ทำให้ตกใจก็จะตกใจอย่างง่าย รวมถึงภาวะซึมเศร้าที่อาจเกิดขึ้นได้”
วิธีปฏิบัติอย่างถูกวิธี
จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลมนารมย์ ได้แนะวิธีการช่วยเหลือเด็กที่ได้รับผลกระทบทางจิตใจจากเหตุการณ์ต่างๆ โดยพ่อแม่หรือคนใกล้ชิดควรปฏิบัติดังนี้
1.เบี่ยงเบนความคิดของเขา ทำให้เขามีอารมณ์ที่สนุกสนาน ร่าเริงมากขึ้น อาจจะเป็นการเล่น หรือทำกิจกรรมอะไรที่สนุกสนาน เพื่อสร้างความสุขให้เกิดขึ้นกับเขา
2.ให้ความช่วยเหลือ โดยให้ความสุขเกิดขึ้นในใจเด็กก่อน เราประคับประคองจิตใจของเขา เช่น เขาอยากเล่าอะไร ก็ให้เขาเล่าตามความต้องการของเขา หรือเขาอาจจะเล่าในเรื่องของความสูญเสีย
3.ไม่ควรถามเด็กในเรื่องที่เกิดขึ้นแบบซ้ำๆ ในกรณีที่มีคนมาพูดมาถามในเรื่องที่เกิดขึ้นแบบซ้ำๆ อันนี้ต้องระวังด้วย เพราะบางครั้งผู้ใหญ่จะให้เด็กเล่าเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ วนไปวนมา ถ้าเด็กมีจิตใจค่อนข้างอ่อนไหวอยู่แล้วก็จะเกิดเป็นบาดแผลที่ลึกมากขึ้น แทนที่จะเยียวยาก็จะกลายเป็นเกิดบาดแผลขึ้นมาแทน
4.ไม่ควรห้ามว่าอย่าไปพูดถึง อย่าไปสนใจ หรืออย่าเสียใจ เพราะเป็นการปิดกั้นความรู้สึกที่เกิดขึ้น เช่น ตอนนี้หนูคิดยังไง รู้สึกยังไง ถ้าเด็กอยากพูด ผู้ใหญ่ก็ต้องฟัง พร้อมเข้าหาเด็กด้วยท่าทีที่พร้อมจะเข้าใจ พูดกว้างๆ พอเด็กรู้สึกว่าได้รับความเป็นมิตร ได้รับความห่วงใยจากคนที่เข้าไปหาแล้วก็จะเกิดความรู้สึกผ่อนคลาย หรือมีความรู้สึกว่ามีคนที่พร้อมจะช่วยเขา หรือเป็นที่พึ่งให้กับเขาอยู่ข้างๆ
5.หาญาติหรือคนสนิทสนมคอยปลอบ ในกรณีที่เด็กสูญเสียพ่อแม่ ถ้าเราหาคนที่สนิทสนม เช่น ญาติพี่น้องที่สนิทที่ยังเหลืออยู่ หรือคุณครู หรือใครก็ได้ที่เด็กมีความสัมพันธ์ที่ดี ก็จะช่วยให้เด็กเกิดความรู้สึกปลอดภัยได้มากขึ้น ในเด็กที่โตขึ้นมาหน่อยอาจจะสอนเขาในเรื่องของการผ่อนคลาย เช่น เมื่อไรที่เขาเกิดเครียด กลัว หรือวิตก ก็ฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การหายใจ ให้เด็กเข้าใจว่าการที่เขาเกิดอาการกลัวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ใครๆ ก็เป็นกัน ไม่ใช่มีเขาคนเดียวที่เป็น ให้เด็กทำความเข้าใจกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น สามารถที่จะจัดการกับอารมณ์นั้นที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง พอเด็กผ่อนคลายและสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติแล้ว ความรู้สึกที่ดีๆ ต่างๆ จะกลับมาได้
พญ.อังคณา ย้ำว่า สิ่งสำคัญในการที่จะเข้าไปช่วยเหลือเด็ก โดยเฉพาะพ่อแม่จะต้องมองอะไรในด้านบวก มองปัจจุบันให้เป็นด้านบวก แทนที่จะคิดด้านลบ เช่น ตายแน่เลย ฉันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ประมาณว่าบ้านก็ไม่เหลือ อะไรก็ไม่เหลือ อนาคตคงแย่แน่
“เพราะถ้าเริ่มต้นจากตรงนั้น สิ่งที่พ่อแม่จะให้กับลูกก็จะออกมาเป็นด้านลบ แต่ถ้าเริ่มจากการคิดในมุมบวก เช่น ยังดีนะที่ลูกไม่เป็นไร ยังมีชีวิตอยู่ด้วยกัน ยังได้เจอหน้ากัน ซึ่งการที่มีมุมมองเป็นบวกอย่างนี้ ก็จะทำให้เด็กหรือลูกมีกำลังใจ ฉะนั้นคำพูดที่ควรพูดกับลูกเช่นว่า เราได้อยู่ด้วยกันต่อไป เดี๋ยวเราค่อยๆ สร้างบ้านกันใหม่ อาจจะรอนิดนึง แต่ก็เชื่อว่าเราจะทำตรงนี้ได้ ตอนนี้ยังดีที่ลูกยังปลอดภัย ไม่เป็นอะไร มีหลายคนที่พร้อมช่วยเรา” พญ.อังคณา ย้ำเตือน


