บทสวดมนต์อื่นๆในงานศพ : Moral Quotient
เราผู้ไปร่วมงานศพ หากตั้งใจฟังก็จะได้รับบุญกุศล ทำให้เกิดสติ สมาธิ ปัญญาได้ตามสมควรทีเดียว
เราผู้ไปร่วมงานศพ หากตั้งใจฟังก็จะได้รับบุญกุศล ทำให้เกิดสติ สมาธิ ปัญญาได้ตามสมควรทีเดียว
โดย...คุณสลิล
ท่านผู้อ่านที่เคารพ เมื่อปลายปี 2552 MQ ได้นำเสนอเรื่องของงานศพไปหลายเรื่อง ตั้งแต่เรื่องพระพิธีธรรม เรื่องบทสวดพระอภิธรรม แล้วก็เว้นไปหลายอาทิตย์ในช่วงปีใหม่ วันนี้จึงอยากจะนำเรื่องเกี่ยวกับงานศพมาคุยกันต่อ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับบทสวดมนต์อื่นๆ ที่ปัจจุบันพระท่านมักนำมาใช้สวดในงานศพ ซึ่งนอกเหนือจากบทพระอภิธรรมที่ใช้เป็นหลัก และเป็นที่นิยมมาแต่โบราณ
การที่พระท่านนำเอาบทสวดมนต์อื่นๆ มาใช้สวดศพนั้น ก็มีความหลากหลาย แต่ละวัด แต่ละพื้นที่ก็ใช้บทต่างๆกัน และในปัจจุบันก็มีการสวดมนต์แปล เพื่อให้ญาติโยมที่มาฟังได้เข้าใจ โดยแปลเป็นภาษาไทยเพิ่มเข้าไปด้วย ซึ่งก็คงเป็นไปด้วยความหวังดีของพระท่าน ที่รู้ว่าคนส่วนใหญ่ปัจจุบันก็ห่างวัดห่างจากธรรมะ ดังนั้นการที่จะรู้จะเข้าใจพระอภิธรรมก็เป็นเรื่องยาก อีกทั้งพระคุณเจ้าส่วนมากก็ไม่ได้เรียนพระอภิธรรมด้วย เพราะไม่ได้มีการบรรจุในหลักสูตรการศึกษาของพระเณรโดยตรง ทั้งการแปลบทพระอภิธรรมที่นำมาสวด อันเป็นบทย่อๆ ก็ยาก ไม่ใช่เพราะแปลยาก แต่จะฟังเข้าใจยากหากไม่ได้มีพื้นฐานความเข้าใจมาก่อน อย่างไรก็ตามการสวดพระอภิธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ดียิ่ง เพราะเป็นธรรมะอันลึกซึ้ง และเป็นการแสดงโดยปรมัตถธรรมเป็นส่วนมาก เป็นทางแห่งปัญญาโดยตรง แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ยังใช้บทนี้แสดงโปรดพระพุทธมารดาของพระองค์เองในสวรรค์ ดังนั้นจึงควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ และเป็นการทำบุญที่เลิศแก่ผู้ตาย เป็นการแสดงพระอภิธรรมย่อๆ ครบทั้ง 7 คัมภีร์ ซึ่งมากกว่าการสวดมนต์ทั่วไป ที่แสดงได้ทีละบททีละเรื่องเท่านั้น ดังนั้นหากท่านเจ้าภาพต้องการจะให้มั่นใจว่า พระท่านจะสวดบทพระอภิธรรมให้แก่ญาติผู้ตายของเรา ก็ควรจะต้องนิมนต์คือไปบอกขอให้ท่านสวดบทพระอภิธรรมโดยเฉพาะหากวัดนั้นพระท่านนิยมสวดบทอื่นๆ อย่างน้อยก็ควรนิมนต์ให้ท่านสวดพระอภิธรรมให้สักวันหนึ่ง อาจจะเป็นวันสุดท้ายก็ได้
คราวนี้มาคุยกันเรื่องบทสวดมนต์อื่นๆ ที่พระท่านมักนำมาสวดในงานศพ ซึ่งก็เป็นธรรมะเช่นกัน มักนำมาจากพระสูตรต่างๆ อาจฟังได้เข้าใจง่ายกว่า โดยเฉพาะท่านจะนำมาในส่วนที่เกี่ยวกับการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เกี่ยวกับความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน หรือกล่าวให้สติแก่ญาติ ไม่ให้ประมาท เพราะเราก็จะต้องตายเหมือนกัน เป็นการเจริญมรณาสติ ให้เร่งเจริญบุญกุศล เพื่อเป็นที่พึ่งในปรโลกเป็นต้น
เพื่อเป็นตัวอย่าง MQ ขอนำบทสวดมนต์อื่นๆ บางบทที่ปัจจุบันได้รับความนิยมในงานศพ บทเริ่มและบทสุดท้ายแล้วสรุปย่อว่าเป็นบทสวดเกี่ยวกับเรื่องใด ดังนี้
บทจตุรารักขกัมมัฏฐาน "นะมามิ พุทธัง คุณะสาคะรันตัง ... จตุรารักขกัมมัฏฐานัง"
เป็นบทนอบน้อมพระรัตนตรัย แล้วขอให้สัตว์ทั้งหลายมีความสุข ไม่มีเวรต่อกัน แล้วกว่าถึงความปฏิกูลของร่างกาย สัตว์ทั้งหลาย แม้เราด้วย ย่อมถึงซึ่งความตาย จึงควรเจริญกัมมัฏฐานทั้ง 4 เป็นนิจ เป็นเครื่องรักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว
บทมรณสติกัมมัฏฐาน "อธุวัง โข เม ชีวิตัง ... มรณังมรณัง เอกังสิกัง"
เป็นบทเกี่ยวกับความตาย กล่าวถึงความไม่ยั่งยืนของชีวิต ชีวิตไม่ยั่งยืน ความตายยั่งยืน เราจักตายแน่ ชีวิตมีความตายเป็นที่สุด เป็นธรรมดา ไม่สามารถล่วงพ้นไปได้ความตายจักมี ชีวิตินทรีย์จักขาด ความตาย ความตาย เป็นไปโดยส่วนเดียว
บทกายคตาสติกัมมัฏฐาน "อะยัง โข เม กาโย ... ปูโรนานัปปการัสสะ อสุจิโน"
เป็นบทพิจารณาส่วนต่างๆ ของร่างกาย ว่าเต็มไปด้วยปฏิกูล ไม่สะอาดมีประการต่างๆ โดยในบทนี้ส่วนกลางจะกล่าวถึงอาการ 32 เป็นต้น เช่น เกสา โลมา นขา ทันตาตโจ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ฯลฯ
บทปกิณณกะ "อะจิรัง วะตะยัง กาโย ... นะ หิ โนสังคะรันเตนะ มะหาเสเนนะ มัจจุนา"
เป็นบทเกี่ยวกับความตาย กายนี้ไม่นานหนอ ... เมื่อตายแล้วก็ราวกับท่อนฟืนไม่มีประโยชน์ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วย่อมเสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดแล้วย่อมดับ ความเข้าไประงับแห่งสังขารทั้งหลายเหล่านั้น เป็นสุข... อายุของสัตว์ เหมือนน้ำในแม่น้ำน้อยๆ ต้องแสงอาทิตย์แผดเผาแล้ว ลดเหือดแห้งไปๆ ผู้มีสติปัญญารู้แล้ว พึงร้อนใจเร่งรีบทำบุญกุศล เหมือนบุคคลไฟไหม้ศีรษะ เร่งดับโดยเร็วพลัน ความตายจะไม่มาถึงไม่มี ความเพียรเจริญบุญกุศล พึงรีบเร่งทำเสียในวันที่มีชีวิตเป็นอยู่นี้ทีเดียว ใครเล่าจะรู้ว่าความตายจักมาในวันพรุ่ง ความผัดเพี้ยนด้วยมัจจุมาร คือ ความตาย อันมีเสนามาก ทำไม่ได้เลย
ที่ยกมานี้เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ไม่ว่าพระท่านจะสวดบทใดก็ตาม เราผู้ไปร่วมงานศพ หากตั้งใจฟังก็จะได้รับบุญกุศล ทำให้เกิดสติ สมาธิ ปัญญาได้ตามสมควรทีเดียวคนก็ตายให้เราดูต่อหน้าแล้ว ผู้ไปงานศพจึงไม่ควรประมาท จะพูดคุยทักทายกันก็สมควร แต่เมื่อพระสงฆ์เริ่มสวดมนต์แล้วควรทำใจให้เป็นกุศล เพื่อที่สุดจะได้อุทิศบุญกุศลให้แก่ผู้ตาย และเป็นการไม่ประมาท เมื่อเห็นความตายอยู่ตรงหน้าแล้ว พระท่านก็กำลังให้สติแก่เรา จึงควรตั้งใจฟังและรีบทำความดี
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นอิงหลักธรรมะ ท่านสามารถส่งคำถามหรือข้อติชม ทาง e-mail มาได้ที่ [email protected]


