รวมญาติ
มีโอกาสได้ไปงานศพของคนไทยเชื้อสายจีนมา พิธีเขาเยอะพอสมควรเลยล่ะ
มีโอกาสได้ไปงานศพของคนไทยเชื้อสายจีนมา พิธีเขาเยอะพอสมควรเลยล่ะ
แต่ทุกสิ่งอย่างที่ลูกหลานต้องทำนั้นเป็นกุศโลบายของคนโบราณที่อยากจะให้ลูกหลานได้มีความสามัคคี กตัญญูต่อบุพการีนั่นเอง
การจัดพิธีแบบจีนเนี่ย อาเจ็กซา ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกว่า อีกหน่อยคงค่อยๆ หายไปแล้วล่ะ เพราะค่อนข้างพิธีเยอะ ทีมจัดงานก็น้อยลงๆ และต้องใช้เงินมากพอสมควรเลยล่ะ งานหนึ่งๆ เป็นแสนยันไปถึงล้านก็มีนะ แล้วคนสมัยนี้ชอบทำอะไรที่ง่ายๆ เร็วๆ สะดวกสบาย ถ้าชักช้าลูกหลานไม่เอาซะงั้น สมัยก่อนน่ะเยอะกว่านี้อีก เรียกว่าต้องทำพิธีกันตั้งแต่เช้า 7 โมง ไปยันเที่ยงคืน หรือบางทีก็ตี 4 หรือมานั่งเฝ้าศพเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความกตัญญู แต่ปัจจุบันสั้นหน่อยเหลือแค่ 4 โมงเย็นถึง 4 ทุ่มก็หรูแล้ว
ไม่น่าเบื่อหรอกนะเพราะมีกิจกรรมเยอะอยู่ ไหนจะต้องเซตฉากวางโลงของเซ่นไหว้ มีวงดนตรี คนนำสวด ทีมสวดและส่งวิญญาณ วิ่งร่ายรำ โอ๊ย! เยอะ
อย่างปูสงสัยว่าทำไมลูกหลานต้องใส่ชุดกระสอบด้วย อาเจ็กซาที่ทำพิธีบอก “ไม่ใช่กระสอบ เป็นเสื้อที่ทำจากปอ สมัยก่อนเขาต้องเอาปอมัดไว้ที่เอวน่ะ บ่งบอกถึงความกตัญญู” ถ้าตัดจากไต้หวันก็จะทนกว่ามาจากจีนแดงหน่อย เดี๋ยวนี้เขาให้เช่าแล้ว คนที่เป็นลูกเท่านั้นที่ใส่ ถ้าเป็นหลาน (ลูกของลูกชาย) ก็จะใส่ชุดขาวหมวกขาว ถ้าเป็นลูกหลานไกลออกไปหน่อย (หรือลูกของลูกสาว เพราะแต่งออกไปแล้ว) ก็จะใส่ชุดขาวหมวกสีฟ้า แล้วถ้าไม่มีสิทธิในทรัพย์สมบัติก็จะมีจุดสีแดงบนหมวก เพราะสมัยก่อนเวลาพ่อแม่ตาย ญาติๆ ก็จะมาแย่งสมบัติกันไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เลยต้องมีการแยกให้เห็นชัดเจนจะได้รู้ว่าใครเป็นใคร ญาติฝ่ายไหน ลูกเต้าเหล่าใคร
ที่โลงศพก็จะมีการแขวนโคมตามจำนวนของลูกๆ ไว้ เมื่อเสร็จงานก็ให้ลูกๆ เอากลับไปจุดเทียนด้านในโคม อย่าให้ดับ แล้วแขวนไว้ที่บ้าน แขวนให้นานที่สุด บางบ้านก็จะให้แขวนไว้ตามต้นไม้แค่ 49 วัน เพื่อให้ลูกหลานร่ำรวยและเป็นการรำลึกถึงพ่อแม่ที่เสียไป
ที่ปูสังเกตเห็นด้านหัวของโลงศพ เขาจะวางกะละมังน้ำ ถ้วยและแปรงสีฟันเอาไว้ อาเจ็กซาก็ได้เล่าว่า เขาเชื่อว่าจริงๆ แล้วคนตายไม่ได้จากไปไหน เพียงแต่ข้ามไปอยู่อีกภพหนึ่งเท่านั้นเอง จึงต้องเตรียมข้าวของเอาไว้ให้เหมือนกับชีวิตประจำวัน แม้แต่การล้างหน้าแปรงฟัน
งานศพแบบจีนที่เยอะๆ เนี่ย เป็นเพราะว่ามี 3 ศาสนา เข้ามาเกี่ยวข้อง คือ พุทธ เต๋า และขงจื๊อ พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง เต๋าและขงจื๊อ ให้อยู่ด้วยการคิดดี ทำดี สามัคคี และกตัญญูต่อบุพการี จึงมีการสวด แหล่เหมือนงานบวช กล่าวถึงว่าบิดามารดานั้นมีพระคุณใหญ่หลวงอย่างไรบ้าง (เป็นภาษาจีนนะ) ลูกหลานถ้าฟังกันรู้เรื่องก็จะน้ำตาไหลพรากกันเชียวล่ะ มีพิธีส่งวิญญาณไปสู่อีกภพหนึ่ง มีพิธีในการใช้หนี้แทนบิดามารดา ถ้าเป็นมารดาก็ต้องมีพิธีระลึกถึงค่าน้ำนมแม่กันอีก
พอเสร็จพิธีเหล่านี้แล้วก็ต้องนำร่างของบิดามารดาไปฝังยังสุสานของตระกูลอีก จะฝังศพพ่อแม่ก็ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้าฝังตรงไหนยังไงก็ได้นะ ต้องดูทิศทางฤกษ์ยามอีก เพราะเขาถือกันมากเลย ถ้าฮวงซุ้ยของบรรพบุรุษไม่ดีฝังไม่ถูกทิศถูกทางก็จะทำให้ลูกหลานพลอยแย่ไม่เจริญก้าวหน้ามีแต่ปัญหาไปด้วย อาจารย์หลีเหย้า เคยบอกว่า เป็นเพราะมีดีเอ็นเอเดียวกัน เลยทำให้สื่อถึงกันได้นั่นเอง
อาเจ็กซาบอกว่า เอาแบบไม่ต้องเรื่องเยอะนะ เวลาฝังศพยังไงก็ห้ามลืมให้หัวศพห่างจากโลงหนึ่งฝ่ามือ แล้วให้เหลือที่ห่างจากปลายเท้าไว้มากๆ ลูกหลานก็จะได้สืบตระกูลไปได้ยาวนาน ต้องหาสุสานที่น้ำไม่ท่วมขัง (คงเป็นเพราะเดี๋ยวศพจะเน่าเหม็นมั้ง) เมื่อถึงเวลาครบรอบ ลูกหลานก็ต้องมารวมตัวกันกราบไหว้ เนี่ยก็เป็นกุศโลบายของคนจีนสมัยก่อนอีกนั่นแหละ เพราะถ้าไม่มีวันเช็งเม้งที่มารวมตัวกันกราบไหว้บรรพบุรุษ ก็คงจะตัวใครตัวมัน ไม่รู้ว่าใครเป็นญาติกับใครกันเป็นแน่ พอมีวันเช็งเม้งขึ้นมาอย่างน้อยก็ยังพอรู้จักกันบ้างว่า อ๋อ! นี่มันญาติฉันเอง...


