พระพรหมโมลี (สมศักดิ์) รองสมเด็จ เป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง
กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ประชุมเมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2554 โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นประธาน มีมติแต่งตั้งให้พระพรหมโมลี (ศ.สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ. 9 Ph.D)เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค 1 ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนกลาง แทนสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ที่มรณภาพเมื่อ 11 มี.ค. 2554
กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ประชุมเมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2554 โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นประธาน มีมติแต่งตั้งให้พระพรหมโมลี (ศ.สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ. 9 Ph.D)เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค 1 ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนกลาง แทนสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ที่มรณภาพเมื่อ 11 มี.ค. 2554
โดย...สมาน สุดโต
กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) ประชุมเมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2554 โดยมีสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นประธาน มีมติแต่งตั้งให้พระพรหมโมลี (ศ.สมศักดิ์ อุปสโม ป.ธ. 9 Ph.D)เจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค 1 ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่หนกลาง แทนสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม ที่มรณภาพเมื่อ 11 มี.ค. 2554
การบริหารการคณะสงฆ์แบ่งออกเป็นหนกลาง หนเหนือ หนใต้ หนตะวันออก และเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต โดยมีพระเถระเป็นเจ้าคณะใหญ่แต่ละหน
เจ้าคณะใหญ่หนกลางมีอำนาจหน้าที่ควบคุมดูแลและบริหารการคณะสงฆ์ในภาค 1-2-3-13-14 และ 15 รวมทั้งหมด 23 จังหวัด รวมทั้งกรุงเทพมหานคร
พระพรหมโมลี อายุ 70 ปี พรรษา 50 เกิดที่บ้านตำบลปากจั่น ต.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา บรรพชาอุปสมบทเมื่ออายุครบ 20 ปี ณ วัดละมุด จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2504 มีผลงานเป็นที่ยอมรับหลายอย่าง จนกระทั่งวัดพิชยญาติการามเต็มไปด้วยกิจกรรมส่งเสริมและเผยแผ่พระพุทธศาสนาเกือบมิได้เว้นว่าง
วัดพิชยญาติการาม พระอารามหลวงย่านคลองสาน ทุกวันเสาร์อาทิตย์ จะเห็นประชาชนชายหญิงนุ่งขาวห่มขาวที่มาถือศีลและปฏิบัติธรรมเต็มลานวัด ในขณะที่ถาวรวัตถุโดยเฉพาะเสนาสนะสงฆ์ที่เคยชำรุดทรุดโทรมเพราะอายุขัยก็ได้รับการปฏิสังขรณ์ใหม่ โดยรักษารูปแบบศิลปะและสถาปัตยกรรมโบราณไว้ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงที่พระพรหมโมลีเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งถึงวันนี้ผ่านมาเพียง 13 ปีเท่านั้น
นอกจากตำแหน่งที่กล่าวแล้ว ยังดำรงตำแหน่งประธานกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ประธานโครงการจัดทำปทานุกรมพระไตรปิฎกเชิงวิจัยบาลีไทย เฉลิมพระเกียรติ ฉลอง 84 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกด้วย
ก่อนที่จะมีวันนี้ ท่านก็เหมือนพระเถระที่มีสมณศักดิ์สูงส่วนมากในประเทศนี้ คือ เป็นลูกชาวบ้านร่ำเรียนจากวัด แต่ท่านมีพิเศษไม่ใช่แค่เรียนผ่านๆ ไป หากแต่ท่องจำไปเสียทั้งหมด เช่น เมื่อเป็นพระนวกะนั้น ท่านท่องจำได้ทุกอย่าง จึงกลายเป็นนักเรียนเก่ง ตอบได้ทุกปัญหา ทางสำนักมีรางวัลอะไรให้ กวาดมาได้เพียงรูปเดียว แต่ไม่มีโอกาสสอบนวกภูมิเหมือนพระเณรอื่นๆ เพราะต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดไส้เลื่อน พักรักษาตัวอย่างน้อย 3 เดือน ออกพรรษาแล้วผู้ที่บวชรุ่นเดียวกันสึกหาลาเพศไปหมด เหลือพระสมศักดิ์เพียงรูปเดียว เมื่อเข้าสอบนักธรรมชั้นตรีก็สอบได้ เสร็จแล้วก็ท่องปาฏิโมกข์ สามารถสวดได้คล่อง จากนั้นใช้เวลาเพียง 11 ปี ก็เรียนจบชั้นสูงสุด คือ สอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค
ตลอดเวลาที่เรียนบาลีเคยสอบตก ป.ธ. 8 และ ป.ธ. 9 ชั้นละ 1 ปีเท่านั้น
แต่ก่อนที่จะมาเรียนบาลี สอบได้เป็นมหาจนเป็นที่กล่าวขวัญทั่วคุ้งน้ำป่าสัก จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านว่ามันเป็นเรื่องบุญนำพา เมื่อท่านเป็นพระบวชใหม่เห็นสามเณรไปเรียนบาลีที่วัดบันได อยากสร้างบุญบารมีให้เป็นคนมีสติปัญญาเลิศในภายภาคหน้าบ้าง จึงฝากสามเณรให้ไปถามอาจารย์ที่สอนว่าจะซื้อหนังสือบาลีถวาย 1 ชุด อยากทราบว่าราคาเท่าไร
อดีตท่านเจ้าคุณพระประสิทธิ์สุตคุณ (พระชู ธมฺมธโร วงษ์ชิต) เปรียญธรรม 6 ประโยค เคยอยู่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) แต่หนีระเบิดสงครามโลกครั้งที่ 2 กลับบ้านเกิดที่พระนครศรีอยุธยาแล้วสึกหาลาเพศ กลับมาบวชอีกครั้งเมื่ออายุจวนเกษียณ ซึ่งชาวบ้านทั่วไปยังเรียกตามสมณศักดิ์เดิมว่าเจ้าคุณชู ท่านทำหน้าที่เป็นครูสอนบาลีให้แก่สามเณร จึงเรียกพระสมศักดิ์ไปคุยด้วย บอกว่าไม่ต้องซื้อตำราเรียน ซื้อมาก็ไม่มีใครเรียน ท่านชี้ให้ดูตู้เก็บพระไตรปิฎกว่า ซื้อมาก็ทิ้งไว้ในตู้เฉยๆ ไม่มีใครได้อ่านได้แปล จึงบอกว่าถ้าเรียนเองจึงค่อยซื้อ พร้อมกับพูดให้คิดว่า แต่หากจะเรียนจริงๆ ก็ไม่ต้องซื้อ เพราะท่านเจ้าคุณมีหนังสือให้ เป็นประโยคเด็ดที่ทำให้พระสมศักดิ์หนุ่มนำกลับไปนอนคิดว่าจะเลือกทางไหน แล้วอยู่มาวันหนึ่งท่านเจ้าคุณชูให้สามเณรมาตามพระสมศักดิ์ให้มาฟังและดูสามเณรแปลธรรมบท ท่านก็ไป พอสามเณรแปลเสร็จ ท่านเจ้าคุณให้พระสมศักดิ์ลองแปลบ้าง วันละ 1 บรรทัด 2 บรรทัด โดยที่ยังไม่เคยเรียนไวยากรณ์เลย ทำอยู่อย่างนี้หลายเดือน มีอยู่วันหนึ่งท่านอาจารย์ชูผู้สอนให้ผู้เรียนส่วนมากเป็นสามเณรแปลประโยคว่า ตมตฺถํ อาโรเจสุ ไม่มีใครแปลได้เลย เมื่อท่านสมศักดิ์ถูกเรียกให้แปลเป็นคนสุดท้าย ท่านจึงแยกศัพท์ออกมาว่า ตํ อตฺถํ อาโรเจสุ ท่านเจ้าคุณชูได้ยิน ตบมือฉาดเลยว่าท่านสมศักดิ์หากได้เรียนไวยากรณ์ต้องเก่งแน่ๆ นี่คือจุดเปลี่ยน ท่านจึงถูกเรียกให้เรียนไวยากรณ์บาลี และแปลธรรมบทไปพร้อมๆ กัน (เป็นการเรียนควบไปทั้งสองอย่าง ที่หากสมองไม่พิเศษจริงทำไม่ได้) แค่ 2 ปี ท่านก็สอบได้เป็นเปรียญธรรม 3 ประโยค เป็นมหาชื่อเสียงโด่งดังในขณะนั้นทันที
มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพ่อฟอง วัดตาลเอน ถามเจ้าอาวาสวัดละมุดว่าองค์ที่สอบมหาได้ไปอยู่ไหนตอนนี้ พร้อมกับบอกว่าองค์นี้เลี้ยงมันไว้ให้ดีนะ คุ้งน้ำนี้ไม่สิ้นคนดีหรอก (แม่น้ำป่าสัก)
พระมหาสมศักดิ์มีการศึกษาก้าวหน้าตลอด สอบไม่เคยตกเลยแม้แต่ครั้งเดียว จนกระทั่งสอบได้เปรียญธรรม 7 ประโยค พร้อมกับการเป็นครูสอนนักธรรมบาลี หมุนเวียนอยู่บ้านนอก คือ ที่วัดละมุด วัดบันได และวัดพนัญเชิง จ.พระนครศรีอยุธยา ติดต่อกันหลายปี เมื่อเข้าสอบประโยคสูงขึ้น ทั้ง ป.ธ. 8 และ ป.ธ. 9 จึงสอบตก ครั้งนั้นสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร) เจ้าสำนักเรียนวัดชนะสงครามและอาจารย์ใหญ่ บอกว่า พระมหาสมศักดิ์ต้องสอบตกหลายปีหน่อย เพราะเป็นมหาบ้านนอก ไม่ค่อยรู้เทคนิคการแต่งการแปลเท่าไร คำพูดนี้ยังฝังใจ ทำให้เกิดมุมานะ จึงสอบตกเพียงชั้นละปี พร้อมกับยอมรับว่าการเรียนด้วยตนเองสู้การมีครูสอนไม่ได้ เพราะครูสอนคอยแนะนำกลวิธีต่างๆ ทั้งการแต่งและการแปล
ได้ประโยค 9 การศึกษาไม่ได้หยุดแค่นั้น ได้ลาไปศึกษาชั้นปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยมคธ รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย หลังจากเป็นพระราชาคณะที่พระศรีสุทธิพงศ์แล้ว จบปริญญาโท และทำปริญญาเอกต่อจนจบ กลับมาพัฒนาการเรียนการสอนบาลี และวิปัสสนากรรมฐานในประเทศไทย ตั้งสำนักบาฬีพุทธโฆส ผลักดันให้อยู่ในสังกัดมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยตัวท่านดำรงตำแหน่งรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยถึงขณะนี้
เมื่อเป็นเจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการาม ยังจัดตั้งสำนักธรรมโมลีที่ อ.ปากช่อง เพื่อเปิดอบรมวิปัสสนากรรมฐานแก่พระภิกษุสามเณรจนเป็นที่แพร่หลาย ในวัดพิชยญาติการามเองท่านก็เปิดสำนักเรียนและอบรมพระสังฆาธิการให้มีความรู้ความสามารถเท่าทันโลกที่หมุนไปเร็วด้วยเช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงวิปัสสนากรรมฐานในวัดที่มีอุบาสก อุบาสิกาในวัยต่างๆ แน่นวัด โดยเฉพาะวันเสาร์และอาทิตย์มีผู้ปฏิบัติธรรม ถือศีล ฟังเทศน์เกือบ 1,000 คน(ทางวัดลงทะเบียนทุกคนที่เข้าปฏิบัติธรรม)
ผลงานของพระพรหมโมลีด้านนี้ อำนาจ บัวศิริ ผู้อำนวยการสำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม เขียนในประวัติเมื่อทำบุญวันเกิดปีที่ 70 วันที่ 2 ก.พ. 2554 ตอนหนึ่งว่า
เมื่อกล่าวถึงผลงานของท่าน พระพรหมโมลีได้มีผลงานทางวิชาการจนเป็นที่ยอมรับของนักปราชญ์และนักวิชาการทางศาสนาทั่วไป เช่น คัมภีร์อภินัปปทีปิกาฎีกา ปริวรรตแปลปทานุกรมพระไตรปิฎกฉบับบาลีไทย ตรวจชำระคัมภีร์กัจจายนมูล แปลคัมภีร์กัจจายนมูล แปลคัมภีร์กัจจายนะขั้นพื้นฐานปริวรรตตรวจชำระคัมภีร์กัจจายนสังเขป เป็นต้น
ปี 2552 สภามหาวิทยาลัยได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาผลงานทางวิชาการ และประวัติของผู้ทรงคุณวุฒิในมหาวิทยาลัย ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่าพระพรหมโมลีเป็นผู้มีความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์พิเศษในสาขาวิชาภาษาบาลี นับเป็นพระเถระรูปที่ 2 ที่ได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งในตำแหน่งดังกล่าว (รูปแรกคือ พระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ. ปยุตฺโต)
พระ ท่านนี้มีดีที่เมตตา
พรหม จริยางดงามตามสมัย
โม ราแก้วแพรวเพริศบรรเจิดไกล
ลี ลาใจเลิศพริ้งยิ่งปัญญา
ทั้งปวงที่กล่าวนี้เป็นเพียงส่วนน้อยเมื่อเทียบกับผลงานของท่านที่มีมหาศาล จนกระทั่งได้รับความไว้วางใจให้เป็นเจ้าคณะใหญ่หนกลาง แบกภาระคณะสงฆ์แทนสมเด็จพระสังฆราชส่วนหนึ่ง


