สถานบ้านเกิดพระพรหมคุณาภรณ์กลายเป็นที่ท่องเที่ยว
เนื่องจากชื่อเสียงเกียรติยศของพระพรหมคุณาภรณ์ ได้นำความภูมิใจมาสู่สถานบ้านเกิด จึงเกิดพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สถาน ที่ อ.ศรีประจันต์ ขึ้นมา....
เนื่องจากชื่อเสียงเกียรติยศของพระพรหมคุณาภรณ์ ได้นำความภูมิใจมาสู่สถานบ้านเกิด จึงเกิดพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สถาน ที่ อ.ศรีประจันต์ ขึ้นมา....
โดย...สมาน สุดโต
หนังสือชวนเที่ยวสุพรรณบุรี ชม 5 งานดังในรอบปี ดูของดี 10 อำเภอเมืองสุพรรณ ที่สนับสนุนโดยองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดสุพรรณบุรี จัดพิมพ์เผยแผ่เมื่อเร็วๆ นี้ ได้รวมชาติภูมิสถานบ้านเกิดของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ไว้ในสถานที่ควรไปเยี่ยมชม เป็นหนึ่งในดูของดี 10 อำเภอเมืองสุพรรณ
ในหนังสือดังกล่าวได้พูดถึงของดีน่าดูใน อ.ศรีประจันต์ ไว้ว่า เสียงเหน่อน่าฟัง โด่งดังพระเครื่อง เมืองนักปราชญ์ ตลาดเก่าบ้านเจ้าคุณ แหล่งบุญเจดีย์พระธาตุ พุทธบาทจำลอง ถิ่นร้องอีแซว แห้วจีนมันหวาน หมู่บ้านควายไทย สวนพืชไร้ดิน คือถิ่นศรีประจันต์
วัดบ้านกร่าง
ก่อนที่เล่าถึงตลาดเก่าบ้านเจ้าคุณ หนังสือแนะนำให้รู้จักวัดบ้านกร่างว่าเป็นวัดเก่าแก่สร้างตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาอายุเกิน 400 ปี เป็นวัดที่มีกรุพระขุนแผนบ้านกร่าง เนื้อกระเบื้องดินเผาศิลปอยุธยา คาดว่าสร้างสมัยสงครามยุทธหัตถี เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงยกทัพผ่านอำเภอนี้ ทรงพักที่ริมแม่น้ำ และทรงให้ทหารสร้างพระเครื่องไว้จำนวนถึง 84,000 องค์ เพื่ออุทิศแก่ทหารหาญที่เสียชีวิต
ภายในวัดมีวิหารและอุโบสถเก่าที่สร้างสมัยอยุธยาที่มีใบเสมาเรียงราย
ที่น่าอัศจรรย์ที่วัดบ้านกร่างนี้มีเจดีย์กลางแม่น้ำท่าจีน สร้างสมัยรัชกาลที่ 4 หรือ 150 ปีมาแล้ว เพื่อให้ประชาชนสักการะในวันลอยกระทง ต่อมากระแสน้ำเปลี่ยนทิศทาง เจดีย์จากกลางน้ำ กลายมาอยู่ริมฝั่งแม่น้ำในปัจจุบัน
วัดบ้านกร่างแห่งนี้ เป็นวัดที่พระพรหมคุณาภรณ์ (ท่าน ป.อ.ปยุตโต) ได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุได้ 13 ปี ก่อนที่จะย้ายไปเรียนพระปริยัติธรรมที่วัดปราสาททอง ในอำเภอเมืองสุพรรณบุรี จากนั้นได้ย้ายไปอยู่ที่วัดพระพิเรนทร์ วรจักร กทม. จนกระทั่งสอบ ป.ธ. 9 ขณะที่เป็นสามเณร เมื่อปี 2504 นับเป็นสามเณรรูปที่ 4 ที่สอบผ่าน ป.ธ. 9 ในสมัยรัตนโกสินทร์ และได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนาคหลวงในการอุปสมบทในปีเดียวกัน
2 รูปแรกที่ได้ประโยค 9 ขณะที่เป็นสามเณร แต่เป็นสมัยที่มีการสอบแบบปากเปล่า คือสมเด็จพระสังฆราช (สา) วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม และสมเด็จพระสังฆราช (ปลด) วัดเบญจมบพิตร
สมัยที่สอบแบบข้อเขียนคือ อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก วัดทองธรรมชาติเป็นรูปที่ 1 พระพรหมคุณาภรณ์ เป็นรูปที่ 2
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) นามเดิม ประยุทธ์ นามสกุล อารยางกูร เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 ม.ค. พุทธศักราช 2481 (ตรงกับแรม 7 ค่ำ เดือนยี่ ปีขาล) ที่บ้านริมฝั่งแม่น้ำสุพรรณบุรี (แม่น้ำท่าจีน) ฝั่งตะวันออก อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี
จากเด็กชายตัวเล็กๆ ชาวตลาดศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี ที่เติบโตควบคู่มากับการเจ็บป่วยเนืองนิตย์ เมื่อบรรพชาอุปสมบทมีความสามารถด้านการเรียนการศึกษาค้นคว้า มีผลงานเป็นที่ยกย่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนได้รับการยกย่องว่าเป็น “ปราชญ์แห่งสงฆ์ไทย”
ไม่น่าเชื่อว่าตลอดเวลาที่ท่านเจ้าคุณได้ต่อสู้กับการเจ็บป่วยนั้นไม่เป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตเลย กลับเป็นผลดีต่อการสร้างผลงานเพื่อสั่งสอนประชาคมโลก จนเป็นที่ยอมรับของทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ด้วยการประกาศยกย่องเกียรติคุณจากสถาบันต่างๆ รวมทั้งการได้รับรางวัล “การศึกษาเพื่อสันติภาพ” จากองค์กรยูเนสโก (UNESCO Prize for Prace Education) เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2537 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ปัจจุบันท่านมีสมณศักดิ์เป็นรองสมเด็จพระราชาคณะ ที่พระพรหมคุณาภรณ์ เป็นเจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน อ.สามพราน จ.นครปฐม
เนื่องจากชื่อเสียงเกียรติยศของท่านเจ้าคุณ ได้นำความภูมิใจมาสู่สถานบ้านเกิด จึงเกิดพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สถาน ที่ อ.ศรีประจันต์ ขึ้นมา
ชาติภูมิสถานพระพรหมคุณาภรณ์
หนังสือชวนเที่ยวสุพรรณบุรี ได้แนะนำว่า ชาติภูมิสถานพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ในเดือน ม.ค. 2548 พี่ชายคนที่สามของท่านและภรรยาได้มอบอาคารพาณิชย์ ซึ่งคือร้านใบรัตนาคารบนที่ดินของวัดยาง ให้แก่คณะกรรมการมูลนิธิชาติภูมิสถาน ป.อ.ปยุตฺโต เพื่อจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์อนุสรณ์สถานแด่พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) เป็นศูนย์ข้อมูลชีวประวัติและผลงานของท่าน มีคนในท้องถิ่นร่วมบริจาคทรัพย์และข้าวของสมทบ
ใบรัตนาคารยุคใหม่จัดแบ่งชั้นล่างเป็นสามส่วน ด้านหน้าซ้ายเป็นโถงต้อนรับในบรรยากาศบ้านเก่า มีภาพถ่ายครอบครัวและเครือญาติประดับฝาผนัง ด้านหน้าขวาจำลองบรรยากาศร้านขายเสื้อผ้าใบรัตนาคารในอดีต ส่วนด้านหลังเป็นมุมของใช้ในครัวเรือนและชั้นหนังสือซึ่งเป็นผลงานของท่านเจ้าคุณฯ ให้เลือกอ่านเลือกฟังได้ตามความพอใจ
ชั้นบนมีมุมโต๊ะหมู่บูชาประดิษฐานพระพุทธรูปและห้องเล็กตั้งสิ่งประดิษฐ์เชิงช่าง ที่ท่านเจ้าคุณสนใจไว้กลางห้อง ที่ฝาผนังรอบห้องมีป้ายนิทรรศการแสดงคุณลักษณะนิสัยของท่านในเรื่องราวต่างๆ
แต่พื้นที่ส่วนใหญ่บนชั้นสองนี้อุทิศให้เป็นห้องสอนหนังสือจำลองของท่านในวัยเยาว์ ที่มักเกณฑ์น้องๆ และเพื่อนบ้านมาเป็นนักเรียนอยู่ทุกเย็น (จบข้อความที่แนะนำพร้อมภาพถ่าย เพียงเท่านี้)
การเดินทางไปเยี่ยมชมชาติภูมิสถานพระพรหมคุณาภรณ์นั้นไปไม่ยาก และหาง่ายมากจากตัวเมืองสุพรรณบุรี ใช้ถนนสุพรรณบุรี ชัยนาท ถึง อ.ศรีประจันต์ เข้าไปชมได้ ยินดีต้อนรับทุกท่าน จากนั้นจะไปไหว้พระที่วัดบ้านกร่าง หาของกินในตลาดเก่าศรีประจันต์ ก่อนเดินทางไปที่อนุสรณ์ดอนเจดีย์ที่ทำการทำยุทธหัตถี ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งอยู่ที่ อ.ดอนเจดีย์ หรือเปลี่ยนใจไปเที่ยวหมู่บ้านควาย ที่อนุรักษ์ควายไทย จะเห็นวัฒนธรรมประเพณีหลายอย่างของชาวนาไทยและชาวเมืองสุพรรณ ที่หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทยนี้
ชมวัดพังม่วง
ใกล้ๆ กับหมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย อยากแนะนำให้แวะไปที่วัดพังม่วง ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน เป็นวัดที่บรรดาแม่เพลง พ่อเพลงอีแซว มาทำบุญสุนทานเสมอ ที่น่าดูมากคือการปลูกสร้างกุฏิสำหรับพระสงฆ์ เป็นลักษณะโบราณ เป็นกุฏิทรงไทย ใต้ถุนสูง ฝากระดาน หลังคายอดแหลมเป็นหลังๆ ปลูกรายรอบหอสวดมนต์ที่อยู่ตรงกลาง
การปลูกสร้างกุฏิแบบนี้เป็นที่นิยมของวัดในภาคกลางและสุพรรณบุรี เพราะง่ายต่อการปกครองดูแลพระสงฆ์สามเณรในวัด แต่ปัจจุบันหลายวัดไม่นิยมสร้างแบบโบราณแล้ว ที่วัดพังม่วงยังรักษาอยู่ได้เพราะชาวบ้านศรัทธาเข้มแข็ง เจ้าอาวาสทุกองค์ได้รับการยกย่องสูงมาก
ปัจจุบันเจ้าอาวาสคือพระมหาจำนงค์ วรวัฒโณ ป.ธ.9 M.A. อายุ 72 ปี เป็นผู้มีภูมิธรรมสูง
จากวัดพังม่วงใช้เวลาอีกประมาณ 40-50 นาที ไปหาของรับประทานอร่อยๆ บรรยากาศโบราณที่ตลาด 100 ปี อ.สามชุก หรือเลยไปบึงฉวาก ดูปลาก็ได้
ที่แนะนำมาเป็นเพียงเที่ยวเช้าไปเย็นกลับ (กรุงเทพฯ) หากจะให้จุใจจริงๆ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 วัน จึงจะเที่ยวสุพรรณได้อย่างเต็มอิ่มและจุใจ เพราะเมืองสุพรรณสัมผัสจุดไหนล้วนแต่มีเรื่องเล่าทั้งสิ้น ตั้งแต่สมัยทวาราวดี ศรีอู่ทอง ถึงยุคปัจจุบัน อย่างเช่น ชาติภูมิสถานพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) อ.ศรีประจันต์ ที่เกิดพระพรหมคุณาภรณ์ ที่เป็นความภาคภูมิใจของชาวไทย และชาวพุทธตามที่เล่ามาเป็นต้น


