ทำความรู้จัก เอสโตเนีย ประเทศเล็กๆ แต่น่ารัก ที่คนไทยน้อยนักจะไปเยือน

เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ก่อน มีโอกาสได้ไปศึกษาดูงาน “Krungthai Press Trip 2023” กับ ธนาคารกรุงไทย ณ สาธาณรัฐเอสโตเนีย(Estonia) ณ ประเทศเอสโตเนีย ถือเป็นทริปที่ เปิดโลก เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ อีกครั้ง หากพูดถึง เอสโตเนีย เป็นประเทศที่คนไทยส่วนใหญรู้จักไม่มากนัก นึกไม่ออกว่าอยู่ตรงไหนของแผนที่โลก ครั้งนี้จึงอยากหยิบยกเรื่องราวที่ได้พบเห็น จากมุมหนึ่งของประเทศเล็กๆ แต่น่ารัก ผ่านประสบการณ์ท่องเที่ยว มาเล่าสู่กันฟัง

 

 

สาธารณรัฐเอสโตเนีย มีประชากรน้อยที่สุดในประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป หรือเพียง 1.3 ล้านคน มีพื้นที่ 45,227 ตารางกิโลเมตร (17,462 ตารางไมล์) ที่อยู่ในภูมิภาคบอลติก ในยุโรปเหนือ มีอาณาเขตทางทิศเหนือติดกับอ่าวฟินแลนด์ และทางทิศตะวันออกติดกับประเทศรัสเซีย เอสโตเนีย เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียด ภายหลังที่โซเวียดล่มสลาย จึงได้แยกตัวออกมาเป็นประเทศใหม่เมื่อ ค.ศ. 1994 โดยมีเมืองหลวงชื่อ “ทาลลินน์” (Tallinn) 

 

 

ด้วยประเทศที่มีจำนวนประชากรน้อย จึงทำให้เห็นผู้คน และจำนวนรถยนต์วิ่งบนท้องถนน มีไม่มากนัก นอกจากนี้เอสโตเนียยังเป็นประเทศแรกในโลก ที่ประชากรส่วนใหญ่ใช้บริการขนส่งสาธารณะฟรีทั้งประเทศ เอสโตเนียจึงไม่มีปัญหารถติด และปัญหามลพิษทางอากาศ

 

 

ไลฟ์สไตล์ของคนเมืองที่นี่ ดูเรียบง่าย ไม่วุ่นวาย เสื้อผ้าที่สวมใส่กันจะเน้นสีคุมโทน ไปทางขาว-ดำ หรือสีเอิร์ธโทน ส่วนที่หลายคนมองว่า กลุ่มประเทศนี้อาจจะยิ้มยากสักหน่อย นั่นก็เพราะอากาศอันหนาวเหน็บเกือบตลอดทั้งปี  ประกอบกับชาวเอสโตเนียได้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากกับเหตุการณ์ในอดีตก่อนได้รับเอกราช ทำให้ชาวเอสโตเนียยังจดจำ แม้เหตุการณ์จะผ่านพ้นไปนานแล้วก็ตาม

 

 

 

ด้านศาสนา คนส่วนใหญ่นับถือศาสนานิกายลูเธอรัน โดยมีภาษาเอสโตเนียเป็นภาษาราชการ เอสโตเนียมีชนเผ่าพื้นเมือง รวมถึงกลุ่มคนหลากหลายเชื้อชาติ ส่วนใหญ่เป็นชนชาติเอสโตเนีย รองลงมาคือ ชนชาติรัสเซีย ชนชาติฟินแลนด์ เป็นต้น ทำให้ประเทศนี้ถูกหล่อหลอมขึ้นจากหลายวัฒนธรรม 

 

 

เอสโตเนีย ได้รับการยอมรับว่า เป็นประเทศเศรษฐกิจดิจิทัลและสังคมแห่งข้อมูล ที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ขณะเดียวกัน เอสโตเนีย หรือ เมืองทาลลินน์ เป็นเมืองที่มีเก่าแก่ มีความสวยงามดั่งเทพนิยายฝรั่ง เหมือนที่เราเคยเห็นในหนังสือนิทาน หรือโทรทัศน์ในวัยเด็ก ล้วนเป็นบรรยากาศที่น่าซึมซับ และชวนบันทึกภาพไว้ในความทรงจำ 

 

เริ่มต้นการเดินทาง ณ เมืองทาลลินน์(Tallinn) เมืองหลวงยุคอัศวิน สถานที่หนึ่ง ที่นักท่องเที่ยวอย่างเราต้องไปปักหมุด ก็คือ จัตุรัสเมืองเก่าของทาลลินน์ (Tallinn Old Town Square) ย่านศูนย์กลางของเมือง ในอดีตเป็นสถานที่ซื้อขายและเปลี่ยนสินค้า และใช้เป็นสถานที่เฉลิมฉลองเทศกาลต่างๆ ของเมือง รวมทั้งยังเป็นที่ประหารนักโทษอีกด้วย  

 

 

ปัจจุบัน เมืองเก่าแก่แห่งนี้ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดคลาสลิค ที่ขึ้นชื่อมากที่สุดในเอสโตเนีย ตึกรางบ้านช่องเต็มไปด้วยสีสันสดใสสะดุดตา ละลานตาไปด้วยร้านขายของที่ระลึก สินค้าพื้นเมืองที่เป็นงานไม้ รวมถึงร้านอาหารท้องถิ่น เรียงรายตลอดทาง ชวนให้ลิ้มลอง 

 

 

ที่ต้องไม่พลาด คือ การลิ้มลองอาหารพื้นเมืองแท้ สไตล์ท้องถิ่น เพื่อให้เข้าถึงวัฒนธรรมการกิน หลายเมนูที่ได้ลองชิม นอกจากเนื้อสัตว์ จะเน้นเครื่องเคียงผักดอง และธัญพืชต่างๆ อาจทานยากสักหน่อย คงเป็นเพราะรสชาติไม่คุ้นลิ้น และกลิ่นที่ไม่คุ้นเคยสำหรับคนไทย ส่วนอาหารที่ชาวเอสโตเนียทานกันในปัจจุบัน ก็เป็นอาหารที่ชาวยุโรปทานกันทั่วไป หลักๆก็จะเป็นขนมปัง เนื้อสัตว์ ชีส นม เนย และเกลือ รสชาติไม่จัดจ้าน เน้นธรรมชาติ

 

 

 

 

ด้วยภูมิอากาศแบบชายทะเล ในช่วงหน้าร้อน อากาศจึงค่อนข้างเย็นสบาย ทำให้ต้นไม้ ดอกไม้ที่นี่ มีสีสันสวยงาม เด่นตา วางขายอยู่รอบเมืองเก่า จนอดบันทึกภาพไว้ไม่ได้

 

 

ศาลาว่าการ เมืองทาลลินน์ ตกแต่งเรียบง่าย เป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่แบบโกธิค และเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของเมืองตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสเมืองเก่า สร้างขึ้นสมัยศตวรรษที่ 13 และเพิ่งฉลองครบรอบ 600 ปี เมื่อปี ค.ศ.2004  ภายในห้องเป็นโถงกว้าง หอพลเมืองเป็นสถานที่จัดเลี้ยง และอ่านกฎหมายเมืองในศตวรรษกลาง ปัจจุบันยังคงใช้จัดงานเลี้ยง และคอนเสิร์ต

 

ไปถ่ายภาพกับ อาสนวิหารอะเลคซันดร์ เนฟสกี อาสนวิหารออร์โธดอกซ์ แบบโดมที่ใหญ่ที่สุดของทาลลินน์ สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1900 ในช่วงที่เอสโตเนียยังเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย เพื่ออุทิศให้กับเจ้าชายเล็กซานเดอร์ ยาโรสลาวิทซ์ เนฟกี้ โบสถ์หลายแห่งรวมถึงอาสนวิหารแห่งนี้ ถูกทิ้งให้เสื่อมโทรม ต่อมา อาสนวิหารแห่งนี้ ได้รับการบูรณะอย่างพิถีพิถันนับตั้งแต่เอสโตเนียได้รับอิสรภาพจากสหภาพโซเวียตในปี 1991

 

 

ออกเดินทางไปต่อ ณ เมืองพาร์นู(Parnu) ใช้เวลาเดินทางจากเมือง ทาลลินน์ ประมาณ 2 ชม. ที่นี่เราใช้เวลาเที่ยวชมไม่นาน เพื่อทานอาหาร พาร์นูเป็นเมืองท่าทางทะเลของเอสโตเนีย บนอ่าวพาร์นู และถือเป็นเมืองรีสอร์ทตากอากาศริมทะเล ที่มีชื่อเสียงหนึ่งของเอสโตเนีย รายล้อมไปด้วยบ้านเรือนโบราณ สไตล์อาร์ทนูโว ที่มีสไตล์ส์เฉพาะตัว มีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร แค่เดินเล่นชมบ้านเก่าก็เพลิดเพลินใจแล้ว

 

 

แต่ที่ต้องว้าว! ไปอีก ก่อนปิดทริปเอสโตเนีย หิมะขาวปุยก็โปรยปรายลงมา คล้ายต้อนรับ และบอกลานักท่องเที่ยวจากแดนไกลที่มาเยือน สร้างความสวยงาม และความฟินให้กับทริปเอสโตเนียขึ้นไปอีก 

 

 

ตอนนี้เราได้รู้จัก ประเทศเอสโตเนียกันมากขึ้นแล้ว หากใครมีแพลนที่จะไปท่องประเทศใหม่ๆในโซนยุโรป แต่ไม่รู้จะไปที่ไหนดี ลองเลือกมาท่องเที่ยวที่นี่ แล้วจะประทับใจกับประเทศเล็กๆนี้ อย่างแน่นอน

 

สำหรับการเดินทาง นั่งเครื่องบินจากไทย มาลงเครื่องที่ฟินแลนด์ แล้วต่อเครื่องมาลงที่เอสโตเนีย หรือจะเปลี่ยนบรรยากาศการเดินทาง ด้วยเรือข้ามประเทศแบบชิลล์ๆ ก็ได้เช่นกัน แล้วคุณจะได้สัมผัสกับประเทศที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นแหล่ง "มรดกโลกทางวัฒนธรรม" จากยูเนสโก ที่สำคัญยังมีอีก 2 ประเทศใกล้เคียง ที่รอต้อนรับแขกผู้มาเยือน นั่นคือ ประเทศลัตเวีย และประเทศลิทัวเนีย ที่ใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ไม่กี่ชม.ก็ถึงแล้ว ติดตามความประทับใจ กับ 2 ประเทศนี้ ได้ในตอนต่อไป ค่ะ.....