ดึกดำบรรพ์ แห่งอนันตกาล
ถ้าสตีเวน สปีลเบิร์ก ได้รับการยอมรับในฐานะพ่อมดแห่งฮอลลีวูด ผมว่าเจมส์ คาเมรอน ผู้กำกับอวตาร (AVATAR) น่าจะได้ได้รับฉายาว่า กษัตริย์แห่งโลกภาพยนตร์
ถ้าสตีเวน สปีลเบิร์ก ได้รับการยอมรับในฐานะพ่อมดแห่งฮอลลีวูด ผมว่าเจมส์ คาเมรอน ผู้กำกับอวตาร (AVATAR) น่าจะได้ได้รับฉายาว่า กษัตริย์แห่งโลกภาพยนตร์
โดย...ปราฏา เหมทิวากร
ถ้าสตีเวน สปีลเบิร์ก ได้รับการยอมรับในฐานะพ่อมดแห่งฮอลลีวูด ผมว่าเจมส์ คาเมรอน ผู้กำกับอวตาร (AVATAR) น่าจะได้ได้รับฉายาว่า กษัตริย์แห่งโลกภาพยนตร์
ใครได้ดูหนัง 3D เรื่องนี้แล้ว ต้องบอกว่าเป็นมหากาพย์ทางจินตนาการ ก้ำๆ กึ่งๆ ว่าเราอยู่ในโลกของความฝันหรือโลกเหนือจริงกันแน่
เจมส์ คาเมรอน ไปได้ไกลสุดในเรื่องของเทคโนโลยี...แต่กลับย้อนเข้ามาใกล้สุดในตัวตนของสิ่งมีชีวิต
สิ่งมีชีวิตในภาพยนตร์อวตารถูกนิยามว่าเป็นชาวนาวี ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองบนดาว “แพนดอรา” นอกสุริยจักรวาล และไม่ปรากฏว่าเป็นห้วงเวลาใด คือไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเป็นอดีต ปัจจุบัน ดึกดำบรรพ์ อนาคต หรืออนันตกาลกันแน่
แม้ในหนังจะแสดงถึงความก้าวหน้าในโลกอีก 100 ปีข้างหน้า ที่สามารถขนทหารนับพัน บินออกไปค้นหาทรัพยากรบนดาวดวงอื่นที่ไม่ใช่โลกมนุษย์
แต่ผู้กำกับกระชากให้เห็นความล้าหลัง ความโลภ และความเสื่อมทรามทางจิตใจของมนุษย์ ที่พร้อมจะพังทุกอย่างที่ขวางหน้า ด้วยขนอาวุธออกปฏิบัติการบนดาวแพนดอราเพื่อหาแร่ธาตุ “กิโลกรัมละ 20 ล้านดอลลาร์” ที่ฝังอยู่ใต้ต้นไม้แห่งจิตวิญญาณ
ปฏิบัติการนี้เริ่มต้นด้วยการส่ง เจค ซัลลี นายทหารขาพิการอวตารร่างกับชาวนาวี เพื่อเกลี้ยกล่อมให้ชาวนาวียอมสละแผ่นดินเพื่อเปิดทางให้มนุษย์เข้าไปครอบครองอาณาจักร
แต่สุดท้าย เจค ซัลลี กลับซึมซับวิถีชีวิตของชาวนาวีที่ผูกพันอย่างล้ำลึกกับสิ่งรอบตัว นำไสู่ความหวงแหนและแนบแน่นกับธรรมชาติที่เรียกว่าพร้อมตายแทนกันได้
จาก “สปาย” กลายเป็นส่วนหนึ่งของชนพื้นเมือง เจค ซัลลี ในสภาพของทหาร กลายเป็นนักรบที่กบฏต่อโลกมนุษย์ แต่เจค ซัลลี ในร่างของชาวนาวี กลายเป็นนักรบที่สามารถนำทัพสิ่งมีชีวิตบนดาวแพนดอราให้ลุกขึ้นมาปกป้องคุณค่าของตัวเอง
สุดท้าย...นำไปสู่ฉากต่อสู้อันยิ่งใหญ่อลังการ
ผมเขียนมาถึงตรงนี้ เพราะต้องการ “ลากความคิด” ของผู้อ่านให้ย้อนไปเปรียบเทียบเนื้อหาของอวตาร กับห้วงเวลาของสหรัฐอเมริกายุคบุกเบิก
คนขาวได้รุกล้ำที่ในป่าสงวนของอินเดียนแดง เข่นฆ่า รุกราน และทำลายที่อยู่อาศัยของคนพื้นเมือง พวกคนพื้นเมืองในแดนดิบเถื่อน ที่คนขาวนิยามว่าเป็นพวกล้าหลัง ทั้งที่จริงๆ แล้ว มีหลักฐานปรากฏในภายหลังว่า พิธีกรรมและจิตใต้สำนึกของอินเดียนแดงนั้นสูงส่ง ผูกพันอย่างแยกไม่ออกกับสายน้ำและภูผา นำมาสู่บทกวีจำนวนมากที่ซาบซึ้ง
แต่คันศรหรือจะสู้ปืนไฟของทหารกล้า
เหล่าอินเดียนแดงแตกพ่าย และกลายเป็นน้ำใต้ศอกของคนขาว ที่เข้าไปกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติ.......
แต่ในภาพยนตร์เรื่องอวตารนั้น ประวัติศาสตร์เหมือนกลับตาลปัตร
เมื่อการรบครั้งสุดท้ายของชาวนาวีกับสิ่งมีชีวิตที่มาจากดาวอื่นนั้น มีการบาดเจ็บล้มตายกันมากมาย แต่ลูกธนูและดาบ สามารถปราบกระสุน ยานรบ และระเบิดที่มีพลานุภาพร้ายแรงของทหารจากโลกมนุษย์
ภาพสุดท้ายที่ผู้ชมเห็นคือชาวนาวีกำลังต้อนบรรดาทหารขึ้นยานกลับสู่โลก ผมคิดว่าเจมส์ คาเมรอน กำลังสลับข้อเท็จจริงบางอย่างทางประวัติศาสตร์ ที่เป็นจุดด่างพร้อยของอารยชน เหมือนที่ ร.ท.จอห์น ดันบาร์ แห่ง Dances with Wolves ที่ผลักจิตวิญญาณของตัวเอง ออกจากนายทหารผู้โดดเดี่ยวที่แนวชายแดน ไปเป็นส่วนหนึ่งของชนเผ่าอินเดียนแดง
ผมคิดว่าตอนที่ เควิน คอสเนอร์ กำกับเรื่อง Dances with Wolves คงต้องมีเสี้ยวหนึ่งของความคิด ที่ไม่เห็นด้วยกับประวัติศาสตร์ของตนเองไปทั้งหมด เช่นเดียวกับอวตารในแง่มุมของ เจมส์ คาเมรอน ที่ต้องการ “ชำระบาป” อะไรบางอย่าง
ฉากเล็กๆ ที่ผมชอบในอวตาร คือการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ว่า ต้นไม้แห่งจิตวิญญาณของชาวนาวี มีการส่งผ่านความรู้สึกกันเป็น “เครือข่าย” หรือเน็ตเวิร์ก
มันเป็นการเชื่อมต่อระหว่างหัวใจของธรรมชาติกับจิตใจของสิ่งมีชีวิต มันคือการถักทอความรู้สึกอันหนึ่งอันเดียวกัน กลายเป็นความห่วงหาอาทรแบบพิเศษ...
ไม่เหมือนเครือข่ายของโลกเทคโนโลยีในปัจจุบัน ที่เป็นการเชื่อมโยงกันอย่างหยาบๆ ผ่านโลกออนไลน์ ที่ฉาบฉวยและน่าเบื่อหน่าย
ถ้าใครเคยดู The Abyss ที่กำกับโดย เจมส์ คาเมรอน ในปี 2001 พูดถึงความผูกพันและความมหัศจรรย์ใต้มหาสมุทร
ก็ต้องบอกว่าเจมส์ คาเมรอน ผ่านการตกผลึกทาง “ความคิดฝัน” ไปแล้วระดับหนึ่ง
แต่อวตารในอีก 10 ปีต่อมา คือการตกผลึกทาง “ความนึกคิด” ที่แปรสภาพออกมาเป็นจินตนาการบนจอภาพยนตร์หลากมิติ
หากเจมส์ คาเมรอน เป็นราชาแห่งโลกที่ไม่มีอยู่จริง ผมก็ขอเป็นหนึ่งในผู้ที่บอกว่า “ข้าขอคารวะ”


