posttoday

ใครเห็นฉันมีค่า เธอก็มีค่าเช่นกัน

07 ธันวาคม 2563

โดย ภก.ดร.จันทรชัย ถวิลพิพัฒน์กุล สถาบันอินทรานส์ Hipot – การปฏิรูปศักยภาพมนุษย์อย่างบูรณาการศาสตร์ชีวิตองค์รวมเพื่อความมั่นคงยั่งยืน

ประเด็นเรื่องศรัทธามีผลต่อความสำเร็จขององค์กรอย่างยิ่ง เมื่อพูดถึงประเด็นความท้าทายด้านศรัทธา อาการที่พบบ่อยมักเป็นอย่างนี้ บุคคลมีทัศนคติติดลบ เพราะต่างวัยต่างความคิด ติดกรอบเดิมๆ ใจจึงไม่เปิดกว้างรับฟัง นำไปสู่ความไม่เข้าใจกัน ไม่ไว้ใจกัน หวาดระแวง ไม่ยอมรับกัน บุคคลจึงขาดความเชื่อมั่นต่อกัน ขัดแย้งกัน การทำงานจึงขาดการมีส่วนร่วม เล่นไม่เป็นทีม ไม่ไปในแนวเดียวกัน ไม่สอดคล้องกัน เมื่อทีมงานขาดความเป็นเอกภาพ องค์กรก็ขาดความเป็นปึกแผ่น เมื่อไม่เป็นเนื้อเดียวกัน องค์กรย่อมขาดความเข้มแข็ง เมื่อขาดความเข้มแข็ง ย่อมไม่มั่นคง เมื่อขาดความมั่นคง ก็ยากที่องค์กรจะประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน

เมื่อพิจารณาถึงรากของปัญหา ทำไมคน 2 คน ถึงไปด้วยกันไม่ได้ เราต้องเข้าใจก่อนว่า ในทุกการแสดงออกนั้น ไม่ว่าอะไรก็ตาม ย่อมมาจากกรอบความคิดของตนเอง และกรอบความคิดดังกล่าวย่อมแสดงความเป็นตัวตนของตนเองเช่นกัน ตามที่ เรอเน เดการ์ต (René Descartes, 1596-1650) นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส ได้พูดประโยคสำคัญเอาไว้ว่า “I think, therefore I am” แปลว่า “ในขณะที่ฉันคิด ตัวตนฉันจึงมีอยู่” นั่นคือ ในทุกการแสดงออก มันบ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของบุคคลนั้นๆ และการแสดงออกดังกล่าวมาจากกรอบความคิด นั่นหมายความว่า กรอบความคิดสะท้อนถึงความเป็นตัวตนของผู้พูดนั่นเอง

ใครเห็นฉันมีค่า เธอก็มีค่าเช่นกัน

แล้วความเป็นตัวตนต้องการอะไร

ฟรีดริช วิลเฮล์ม นิตเช่ (Friedrich Wilhelm Nietzsche : 1844 – 1990) นักปราชญ์ชาวเยอรมัน ผู้มีบทบาทสำคัญในแนวคิดอัตถิภาวนิยม (Existentialism) ได้เสนอแนวคิดต่อจาก เรอเน เดการ์ต ว่า ตัวตนต้องการคุณค่าและความหมาย ดังนั้น พฤติกรรมหรือการแสดงออกใดๆ มาจากกรอบความคิด กรอบความคิดกำหนดตัวตน ตัวตนต้องการคุณค่าและความหมาย

นั่นคือ ในทุกความสัมพันธ์ บุคคลต้องการคุณค่าและความหมาย และในเมื่อบุคคลมีความต่างกัน การเห็นคุณค่าในความต่างนี่เองจึงเป็นรากฐานสำคัญของศรัทธา

ดังนั้น ในขณะที่บุคคลกำลังมีปฏิสัมพันธ์กันนั้น ในขณะนั้น โลกภายในของทั้งสองฝ่ายคือตัวตน ก็กำลังก้องสะท้อนระหว่างกันอยู่เช่นกัน และโดยธรรมชาติ ตัวตนต้องการคุณค่าและความหมาย แต่ที่เป็นปัญหาไม่ไว้ใจกัน ก็เพราะต่างฝ่ายต่างไม่เห็นคุณค่าซึ่งกันและกัน แต่กลับต้องการให้อีกฝ่ายเห็นคุณค่าและความสำคัญของตนเอง นั่นคือ จะเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง

ในขณะที่ต่างฝ่ายต่างเอาตนเองเป็นศูนย์กลางนั้น ใจก็จะไม่เปิดรับฟังอีกฝ่าย เมื่อใจเธอไม่เปิดรับฟังฉัน นั่นคือ เธอเห็นฉันไม่มีค่า และ“ใครก็ตามที่ไม่เห็นฉันมีค่า เธอก็ไม่มีค่าเช่นกัน” เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่เห็นคุณค่าซึ่งกันและกัน ศรัทธาก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เมื่อขาดศรัทธา ไม่ไว้ใจกัน ก็ขาดการมีส่วนรวม การทำงานก็ไม่เป็นทีม ไม่เป็นหนึ่งเดียว องค์กร หรือสังคมใดก็ตามที่ไม่เป็นหนึ่งเดียว ความยั่งยืนก็ไม่ต้องพูดถึง

ปัญหาความไม่เข้าใจกันในองค์กรนำมาซึ่งการสูญเสียโอกาสและทรัพยากรมากมาย ท่านคิดว่าอะไรคือรากของปัญหาด้านศรัทธาระหว่างกัน อะไรทำให้คนเราไม่เข้าใจกัน แล้วท่านจะนำความเข้าใจดังกล่าวมากำหนดเป็นยุทธศาสตร์ ในการสร้างทีมงานบนฐานของศรัทธา เพื่อพลิกสถานการณ์เชิงลบให้กลับมาเล่นเชิงบวก เพื่อขับศักยภาพภายในของทีมงานให้ออกมาเสริมกันอย่างมีพลังร่วม สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน อย่างเป็นเอกภาพหนึ่งเดียวได้อย่างไร

ใครเห็นฉันมีค่า เธอก็มีค่าเช่นกัน

ศรัทธาสร้างองค์กรให้ยั่งยืนได้อย่างไร ศรัทธาก็สร้างครอบครัวให้สงบสุขได้เช่นเดียวกัน เพราะต่างก็เป็นมนุษย์ที่ต้องการคุณค่าความหมาย ดังนั้น ใครเห็นฉันมีค่า เธอก็มีค่าเช่นกัน

ข่าวล่าสุด

App Directory โอกาสใหม่ของนักพัฒนากับ App store ใน ChatGPT