posttoday

ถ้ำผาม่อเกาคู (1) จารึกหนึ่งพันปี

03 มีนาคม 2562

เรื่อง: นิธิพันธ์ วิประวิทย์

เรื่อง: นิธิพันธ์ วิประวิทย์

กลุ่มถ้ำม่อเกาคู (莫高窟) คือหนึ่งในสี่กลุ่มถ้ำพุทธศิลป์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีน “ม่อเกาคู” แปลว่า “ถ้ำสูง(ใน)ทะเลทราย” กลุ่มถ้ำนี้ตั้งอยู่บนผาหิน ณ เขาหมิงซาซาน (鸣沙山) เมืองตุนหวง (敦煌) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลกานซู่บ้างเรียกถ้ำนี้ตามชื่อเมืองว่า “ถ้ำหินเมืองตุนหวง”

มองจากกูเกิลเอิร์ธ ทางตะวันออกของเมืองตุนหวงคือเส้นทางมุ่งสู่ใจกลางอาณาจักรจีน ทางตะวันตกมีทะเลทรายทะกลิมากันที่กว้างใหญ่ ทางเหนือและใต้ขนาบด้วยที่ราบสูงมองโกล และที่ราบสูงทิเบตตามลำดับ จากชัยภูมิข้างต้นตุนหวงจึงเป็นหนึ่งในเมืองทางผ่านจากศูนย์กลางอาณาจักรจีนออกสู่แผ่นดินตะวันตก และจากตะวันตกเข้าสู่จีนเช่นกัน ในบางช่วงที่ขอบเขตอาณาจักรจีนสิ้นสุดที่มณฑลกานซู่ สามารถเรียกได้ว่าตุนหวงเป็นประตูที่เปิดออกไปสู่อารยธรรมตะวันตกของแผ่นดินมังกร

จากศูนย์กลางของจีน เมืองตุนหวงตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลทรายย่อมๆ เป็นเมืองสุดท้ายก่อนที่จะออกไปสู่ทะเลทรายขนาดใหญ่ที่ชื่อ “ทะกลิมากัน” ซึ่งมีพื้นที่เท่ากับประเทศนิวซีแลนด์

ก่อนที่ผู้อ่านจะฟังคำบรรยายบรรยากาศของเมืองตุนหวงจนผิวไหม้เกรียม คอแห้งผาก ผมขอดึงทุกท่านวกเข้ามาโฟกัสที่ประวัติของถ้ำม่อเกาคู

กว่า 1,600 ปีที่แล้ว เมื่อปี ค.ศ. 366 ในราชวงศ์จิ้นตะวันออก (หลังยุคสามก๊กไม่นาน) มีภิกษุรูปหนึ่งนามว่าเยว่จุน(乐尊) จาริกมาที่เมืองตุนหวง

ภิกษุรูปนั้นเห็นยอดผาหินบนเขาหมิงซาซานมีแสงทองส่องสว่างเป็นนิมิตศักดิ์สิทธิ์ ภิกษุเยว่จุนจึงตัดสินใจจะปักหลักลงที่นี่

แล้วท่านจึงเริ่มเสาะหาที่ทาง เพื่อเจาะถ้ำที่หน้าผา เพื่อไว้ปฏิบัติสมาธิตามวิถีแห่งพระพุทธองค์

กระแสจาริกสู่ดินแดนตะวันตกของชาวจีนเพื่อศึกษาพระธรรมในยุคนั้นเริ่มมีมาสักพัก เมืองตุนหวงแม้ตั้งอยู่กลางทะเลทราย จึงมีภิกษุเดินทางผ่านมาอยู่เสมอ

จากถ้ำแรกที่ภิกษุเยว่จุนเริ่มเอาไว้ จึงตามมาด้วยถ้ำที่สองที่สามและถ้ำต่อๆ ไป ไม่นานนัก หน้าผาบนเขาหมิงซาซานก็เต็มไปด้วยถ้ำสำหรับการบำเพ็ญภาวนา

ถ้ำในช่วงแรกนั้นเป็นไปเพื่อการทำสมาธิของภิกษุแต่ละรูป จึงเป็นถ้ำขนาดเล็ก แต่เมื่อเริ่มมีภิกษุและศาสนิกชนผ่านมาตุนหวงเป็นจำนวนมาก ขนาดถ้ำก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับกิจกรรมที่เพิ่มเติมขึ้นมา บางถ้ำเริ่มสร้างตั่งดินเอาไว้เป็นที่พักพิงหลีกลี้สภาพอากาศที่หฤโหดภายนอก

และเพื่อให้ศาสนิกชนและภิกษุได้ระลึกถึงเป้าหมายและบอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติได้ง่ายขึ้น พุทธศิลป์จึงเริ่มถูกสลักเสลาแต่งแต้มเข้าไป ทั้งในลักษณะรูปปั้นและภาพเขียนบนผนังถ้ำ

นอกจากกลุ่มพุทธศาสนิกชนแล้ว ก็ยังมีขบวนพ่อค้าและกองคาราวานที่ค้าขายอยู่ตามเส้นทางสายไหมผ่านไปมา

ที่จริงการเดินทางไกลธรรมดาในสมัยนั้นก็อันตรายอยู่ในตัว ไม่ต้องพูดถึงเส้นทางท่ามกลางทะเลทราย ซึ่งชีวิตอาจจบในพายุทรายที่คาดเดาไม่ได้ หรือไม่ก็อดตายหรือตายฉับพลันจากการถูกเข้าปล้นชิงโดยกลุ่มกองโจร อ่อ ลืมบอกไปว่า ชื่อทะเลทราย “ทะกลิมากัน” เป็นภาษาอุยกูร์ ซึ่งแปลว่า “เข้าแล้วออกไม่ได้” จากสถานที่บำเพ็ญเพียรของภิกษุทั้งหลาย จึงค่อยๆ กลายเป็นสถานที่ขอพรปกปักรักษาของผู้คนที่ผ่านไปมา จากถ้ำเพื่อนั่งสมาธิจึงกลายเป็นวัดวาอาราม

ถ้าม่อเกาคูแห่งเมืองตุนหวงจึงกลายเป็นโอเอซิสทั้งทางกายและทางใจก่อนออกไปเผชิญความหฤโหดที่จะตามมาในช่วงเวลาที่ต้องเดินทางสู่ความกันดารอันยาวไกล

จากนั้นเศรษฐีและพ่อค้าก็มีบทบาทขึ้นมา ด้วยการเข้าอุปถัมภ์วัดถ้ำแถบนี้กันตามอัธยาศัย จากภาพพุทธประวัติมากมาย ก็เริ่มแทรกด้วยการเล่าเรื่องและรูปภาพของสมาชิกในครอบครัวผู้อุปถัมภ์

ใครมีกำลังทรัพย์มากก็สร้างถ้ำใหญ่ พระใหญ่ ภาพใหญ่ แทรกภาพสมาชิกได้มาก ส่วนใครมีทุนน้อยก็สร้างเล็กๆ ตามกำลังทรัพย์อันหลากหลาย

ถ้ำม่อเกาคูถูกสร้างต่อเนื่องกันไปเรื่อย และรุ่งเรืองอย่างยิ่งในสมัยราชวงศ์ถังตามความคึกคักของการค้าบนเส้นทางสายไหม

ในรัชสมัยฮ่องเต้หญิงหวู่เจ๋อเทียน (บูเช็กเทียน) บนหน้าผามีถ้ำนับพัน แต่เมื่อเกิดเหตุกบฏอันลู่ซานซึ่งเกิดในราชวงศ์ถังเช่นกัน ช่วงเวลาหลังจากนั้นหลายร้อยปี เมืองตุนหวงก็ถูกสลับกันปกครองระหว่างชนเผ่านอกด่านกลุ่มต่างๆ กับจีน

ถ้ำม่อเกาคูมีการสร้างเสริมต่อเรื่อยมาอีกบ้าง แม้จะไม่รุ่งเรืองเท่าเดิมก็ตาม และการเจาะถ้ำเพิ่มเติมก็หยุดลงที่ยุคราชวงศ์หยวน แล้วตุนหวงก็ถูกปล่อยให้เกือบร้าง เพราะการเสื่อมลงของเส้นทางสายไหมทางบก และความตึงเครียดของสงครามระหว่างมองโกลกับจีน

สมัยต่อมาในราชวงศ์หมิง ด่านทางตะวันตกของจีนถูกสั่งปิดอย่างเป็นทางการ เมืองตุนหวงที่เคยเป็นทางผ่าน และประตู ก็กลายเป็นพื้นที่เวิ้งว้างอยู่ห่างจากศูนย์กลางอาณาจักร กลายเป็นที่อยู่อาศัยของชาวปศุสัตว์เร่ร่อนบนชายขอบแผ่นดินจากจุดเริ่มต้นของถ้ำบนผามาถึงถ้ำแห่งสุดท้ายที่ถูกสร้างขึ้น เรียกได้ว่าถ้ำผาม่อเกาคูมีระยะเวลาก่อสร้างรวมกันนับพันปี และเป็นพันปีที่มีเจ้าภาพร่วมก่อสร้างจากหลากหลายชนชาติ หลากหลายวัฒนธรรม หลากหลายยุคสมัย บางครั้งบางยุคที่พื้นที่วาดบนผนังถ้ำขาดแคลน ก็เลือกลบล้างภาพเก่าบางส่วนในถ้ำเดิมออกแล้ววาดภาพด้วยเรื่องราวใหม่ของเจ้าภาพสมัยนั้นๆ แทรกเข้าไปแทน

เรียกเป็นภาษากราฟฟิตี้สมัยนี้ว่า “บอมบ์งาน”

ในการบอมบ์งานซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายสมัย ผนังบางผืนจึงเป็นรอยต่อของศิลปะที่ห่างกันนับร้อยปีได้ในถ้ำเดียว

และด้วยปริมาณถ้ำที่มากมาย ความงามในสายตาของผู้คนแต่ละสมัย จึงถูกรวบรวมไว้ด้วยกัน

ถ้ำม่อเกาคูจึงเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะและห้องเรียนพุทธศิลป์หลากหลายยุคชั้นดี

ไม่ว่าจะเป็นความงามที่มาจากร่างที่หนักแน่นเข้มแข็งในช่วงที่พระพุทธศาสนาเริ่มเผยแผ่เข้ามาสู่จีน หรือรูปร่างที่บอบบางใต้จีวรหลวมใหญ่ในยุคราชวงศ์เหนือ-ใต้ หรือลักษณะเจ้าเนื้ออวบอิ่มในราชวงศ์ถัง นอกจากภาพพุทธประวัติและสรวงสวรรค์ ยังมีภาพชีวิตประจำวันของสามัญชนต่างแทรกอยู่ในซอกมุมต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็นงานฉลองการเข้ารับราชการ เด็กถูกคุณครูหวดก้น หนุ่มใหญ่นั่งแปรงฟัน รถเข็นทารกยุคโบราณ ฯลฯ ล้วนถ่ายทอดภาพวิถีชีวิตเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว ประหนึ่งอุโมงค์ย้อนเวลาสู่อดีต

ในปัจจุบัน วงวิชาการหลากหลายของจีนต่างมาศึกษาหาประวัติศาสตร์ที่นี่ เพื่อศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นประเพณี ดนตรี เครื่องแต่งกาย ฯลฯ บ้างจินตนาการต่อยอด แล้วสร้างเป็นผลิตผลทางวัฒนธรรมใหม่อีกครั้ง เชื่อมต่อกับรากโบราณ เช่นระบำโบราณสมัยราชวงศ์ถัง ก็ถูกศึกษารื้อฟื้นจากภาพนางฟ้าร่ายรำบนผนังถ้ำแห่งตุนหวง

ที่จริงสิ่งที่พบได้ในถ้ำม่อเกาคูไม่ใช่แค่อดีตของจีนเท่านั้น แต่เป็นอดีตของโลกตะวันตกที่พบกับโลกตะวันออก

เพราะภาพบนผนังถ้ำยังเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งอารยธรรมตะวันตกที่สืบทอดมาตามเส้นทางสายไหม ไม่ว่าจะเป็นจาก อินเดีย เปอร์เซีย ฯลฯ เช่น ภาพนักบวชในศาสนาโซโรอัสเตอร์ ภาพเครื่องดนตรีจากเปอร์เซีย ภาพจักรราศีในความเชื่อชาวตะวันตก

ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมสถานที่นี้จึงเป็นแหล่งศึกษาประวัติศาสตร์หลากหลายมากมาย เพราะภาพในผนังถ้ำที่จารึกไว้ หากนำเอามากางต่อเรียงกันจะมีความยาวเกือบ 30 กิโลเมตรมากทั้งคุณภาพและปริมาณ

ทุกวันนี้นานาชาติ จึงต่างร่วมกันเข้ามาศึกษาและวิจัยถ้ำม่อเกาคู

เรื่องราวของถ้ำม่อเกาคูคงแฮปปี้เอนดิ้ง เรียบง่าย ไม่วุ่นวายนัก หากในวันที่ 25 มิ.ย. ปี 1900 นักพรตหวางหยวนลู่ นักพรตบ้านๆ คนหนึ่งไม่บังเอิญไปเจอะเจอถ้ำลับที่ถูกปิดผนึกซึ่งซ่อนสมบัติอันล้ำค่าเอาไว้นักพรตหวางหยวนลู่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ค้นพบความลับแห่งม่อเกาคู และในขณะเดียวกัน เรื่องนี้ก็ทำให้เขากลายเป็นคนสำคัญคนหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบต่อการ
กระจัดกระจายสูญหายของสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ไปจากจีนกว่า 2 ใน 3 ส่วนจนนักวิชาการบางท่านให้ความเห็นว่า “ตุนหวง คือประวัติศาสตร์ของวงวิชาการที่น่าชอกช้ำใจของจีน”

อะไรอยู่ในถ้ำลับแห่งนั้น อะไรทำให้สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ดูแล้วน่าจะโชติช่วงดีอย่างตุนหวง กลายเป็นเรื่องน่าช้ำใจ

ติดตามอ่านได้ในอาทิตย์หน้า

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด ซันเดอร์แลนด์ พบ นิวคาสเซิ่ล พรีเมียร์ลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68