มิลเลนเนียล แฟมิลี่ เก็บกระเป๋าไม่ใช่แค่ ‘เที่ยว’
ต่อให้เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ จะทำให้รู้สึกโลกใบเดิมเล็กลงขนาดไหน แต่ถ้าอยากสัมผัสรสชาติประสบการณ์ชีวิตให้ถ่องแท้
เรื่อง พุสดี ภาพ pixabay
ต่อให้เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ จะทำให้รู้สึกโลกใบเดิมเล็กลงขนาดไหน แต่ถ้าอยากสัมผัสรสชาติประสบการณ์ชีวิตให้ถ่องแท้ แล้วไม่เก็บกระเป๋าออกไปค้นหาด้วยตัวเอง ก็ไม่มีวันเข้าใจว่า “ทำไมสิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น” เพราะการเดินทางเปรียบเหมือนการพาตัวเองไปสู่ห้องเรียนใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยการเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด ปัจจุบันมีรูปแบบการท่องเที่ยวใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย หนึ่งในรูปแบบการเดินทางที่น่าสนใจและน่าจับตามองคือ กลุ่ม “มิลเลนเนียล แฟมิลี่” (Millennial Family) หรือครอบครัวยุคใหม่ที่โจทย์ในการท่องเที่ยวไม่ใช่แค่เพื่อความสนุก หรือการพักผ่อนอีกต่อไป แต่ต้องได้การเรียนรู้และดื่มด่ำกับวิถีชีวิตที่ไม่เคยได้สัมผัสด้วย
“มิลเลนเนียล แฟมิลี่” ทุกทริปมีเรื่องราว
จิราณี พูนนายม ผู้อำนวยการกองตลาดภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้คำนิยามนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวยุคใหม่ หรือ Millennial Family ว่าเป็นกลุ่มครอบครัวยุคใหม่ ที่คุณพ่อคุณแม่อยู่ในช่วงวัย 30-55 ปี มีลูกอายุไม่เกิน 12 ปี เป้าหมายของนักเดินทางกลุ่มนี้คือ ต้องการเดินทางท่องเที่ยวที่สามารถสร้างสรรค์ประสบการณ์และพัฒนาการอันมีค่าของลูก อีกทั้งยังเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
“เราเห็นศักยภาพในด้านการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวคนกลุ่มนี้ในรอบ 1-2 ปีที่ผ่านมา กลุ่มมิลเลนเนียล แฟมิลี่ ไม่ใช่เทรนด์ใหม่ที่กำลังมาแรง แต่เป็นกลุ่มนิชมาร์เก็ตที่น่าสนใจ ที่ผ่านมา ททท.พยายามจัดการท่องเที่ยวให้ตอบโจทย์กลุ่มต่างๆ รวมทั้งกลุ่มมิลเลนเนียล แฟมิลี่ ซึ่งเราพยายามส่งเสริมให้แต่ละท้องถิ่นจัดรูปแบบการท่องเที่ยวที่ส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านวิถีชุมชน เช่น อาหารถิ่นแบบดั้งเดิม อาหารถิ่นประยุกต์ เช่น ซูชิไข่มดแดง สลัดไข่มดแดง สนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมคุกกิ้งคลาส เรียนรู้กับเชฟท้องถิ่น ต่อยอดผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิม เช่น การประดิษฐ์ตุงใยแมงมุมทำในงานบุญ การทำร่มบ่อสร้างสันกำแพง หรือทำขนมพื้นถิ่น เป็นต้น”
อย่างไรก็ตาม จิราณี ย้ำว่าหัวใจสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวในลักษณะนี้คือ ต้องเป็นการทำงานร่วมกับชุมชน ไม่ใช่การเข้าไปเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนในชุมชน อย่างน้อยอาชีพหลักของชุมชนยังเหมือนเดิม เพียงแต่ใช้การท่องเที่ยวเข้าไปเป็นตัวเสริมในการสร้างรายได้ให้ชุมชนเท่านั้น
คณะทัวร์มีแต่เรา พ่อ-แม่-ลูก
พนิดา เอี่ยมศิรินพกุล ภรรยาคนสวยของ บอย-ตรัย ภูมิรัตน์ และเด็กหญิงชื่นใจ ตัวแทนมิลเลนเนียล แฟมิลี่ กล่าวว่า หลายคนมักมองว่าการไปเที่ยวแบบครอบครัวเป็นการไปเที่ยวเพื่อลูกเท่านั้น แต่คอนเซ็ปต์ของครอบครัวเธอคือ แต่ละทริปเดินทางจะต้องมีเรื่องราวของทุกคน และได้ไปในที่ที่ตัวเองชอบ ไม่ได้ไปแต่สวนน้ำ สวนสัตว์ ดังนั้นพ่อแม่ลูกต่างมีโอกาสได้ไปเที่ยวในสถานที่ที่ตัวเองชอบไปพร้อมๆ กันในทริปเดียว เป็นความสุข ความสนุกของการได้ไปเที่ยวในที่ของตัวเอง เป็นการเดินทางที่ผสมผสานความเป็นคุณพ่อ คุณแม่ และลูกน้อยรวมไว้ด้วยกัน
“การเดินทางทำให้เราได้เรียนรู้กัน และเป็นการเก็บความทรงจำร่วมกันซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เราพาชื่นใจไปเที่ยวตั้งแต่ 3 เดือน ซึ่งเขายังเด็กมากเกินกว่าจะรู้รสชาติความสนุกของการเดินทางด้วยซ้ำ เราเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าลูกจะได้อะไร แต่พอเริ่มโต พอเราพาเขาไปบ่อยๆ เขาก็ค่อยๆ ซึมซับ ตุ๊กตาเชื่อว่าเด็กจะเรียนรู้ได้ดีที่สุดผ่านประสบการณ์ เหมือนเราสอนคำศัพท์เกี่ยวกับผักผลไม้ผ่านการ์ดคำศัพท์ เขาก็เรียนรู้ประมาณหนึ่ง แต่ก็ไม่สู้พาเขาไปตลาดไปเห็นสีส้มของแครอตว่าส้มแบบไหน เท็กซ์เจอร์เป็นอย่างไร” คุณแม่ผู้รักการบันทึก
เรื่องราวผ่านตัวหนังสือทิ้งท้าย
เที่ยวดะให้สุขยกครัว
ด้าน ปพน วงศ์ประเสริฐสุข ผู้บริหารเพจท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ บริษัท เก็ตอัพ สแตนด์อัพ ผู้ก่อตั้งเพจพาลูกเที่ยวดะ และผู้จัดงานมหกรรมพาลูกเที่ยวดะ เผยถึงไลฟ์สไตล์การท่องเที่ยวตามสไตล์ครอบครัวยุคใหม่ว่า แต่ก่อนครอบครัวเน้นเที่ยวง่ายๆ ไปภูเขา ไปทะเล แต่ไม่กี่ปีมานี้เริ่มเห็นเทรนด์การท่องเที่ยวแบบใหม่ ที่ไม่จำกัดเฉพาะการจับกลุ่มเที่ยวระหว่างเครือญาติหรือกลุ่มเพื่อนของพ่อแม่เหมือนแต่ก่อน แต่เป็นการท่องเที่ยวกับครอบครัวของเพื่อนลูก นอกจากนี้พ่อแม่ผู้ปกครองยังหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องพัฒนาการของลูกมากขึ้น เวลาไปเที่ยวไหน นอกจากความสนุกแล้ว ยังอยากให้ลูกได้เรียนรู้ไปด้วย
อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจมองว่าการท่องเที่ยวที่พ่วงการเรียนรู้เข้ามาด้วย อาจพานให้ทริปมหาสนุกกลายเป็นทริปน่าเบื่อเพราะอิงวิชาการเกินไปหรือไม่ สำหรับคำถามนี้ ปพน มีเทคนิคง่ายๆ ในการพาลูกเที่ยวแบบมีความสุขถ้วนหน้ามาแนะนำ
“ข้อสำคัญคือ คุณพ่อคุณแม่ต้องเปิดโอกาสให้ลูกเข้ามามีส่วนร่วมในการเดินทาง ด้วยการถามความคิดเห็นว่าอยากไปเที่ยวแนวไหน ให้ลูกได้เป็นฝ่ายตั้งโจทย์แล้วคุณพ่อคุณแม่ค่อยกลับไปทำการบ้านว่าจะพาลูกไปเที่ยวที่ไหนที่ต้องถูกใจทั้งคุณพ่อคุณแม่ และโดนใจ
คุณลูก ไปแล้วลูกได้สนุกแถมได้เรียนรู้ด้วย ส่วนจะเดินทางท่องเที่ยวในประเทศหรือต่างประเทศไม่สำคัญ เพราะการเดินทางไปต่างประเทศก็เป็นการเปิดโอกาสให้ลูกได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่าง แต่ก็ต้องไม่ลืมรากเหง้าความเป็นไทย ซึ่งเด็กๆ ควรได้มีโอกาสเรียนรู้ถึงวิถีไทยที่มีความแตกต่างในภูมิภาคต่างๆ ทั้งภาษา อาหาร การแต่งกาย วัฒนธรรม
แค่ออกจากบ้าน = การเรียนรู้
ทุกวันนี้จะเห็นว่าเด็กๆ มีเวลาเล่นหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งน้อยลง มีผลการศึกษาพบว่าเด็กๆ ใช้เวลาเล่นหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งลดลงถึง 71% เมื่อเทียบกับเด็กในเจเนอเรชั่นก่อน สอดคล้องกับการใช้ชีวิตของพ่อแม่ในยุคนี้ที่ใช้ชีวิตกว่า 90% ไปกับกิจกรรมในร่ม ไม่เว้นแม้แต่การเลี้ยงลูกที่เลือกสื่ออิเล็กทรอนิกส์มาเป็นพี่เลี้ยง จนกลายเป็นการปิดกั้นโอกาสพัฒนาทักษะสำคัญๆ จนทำให้มีพัฒนาการช้ากว่าปกติ ซึ่ง รศ.นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์ กุมารแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและพฤติกรรม คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช มองว่าการใช้เทคโนโลยีเป็นผู้ช่วยในการเลี้ยงลูก เพื่อหวังส่งเสริมให้ลูกเป็นเด็กเก่งและฉลาดเป็นค่านิยมที่เข้าใจผิด เพราะความฉลาดหรือสติปัญญาเป็นสิ่งที่เกิดจากกระบวนการการเรียนรู้ ซึ่งต้องอาศัยหลายปัจจัยร่วม (Multifactorial Factors)ในการสร้างให้เกิดขึ้น
“การละสายตาจากจอออกมาทำกิจกรรมนอกบ้านผ่านการเล่นเลอะเทอะ จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กๆ ได้ดียิ่งขึ้น การหยิบจับ ห้อยโหน วิ่งเล่นกับเพื่อนๆ นอกจากจะได้ความสนุกตามวัยแล้ว กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ยังได้รับการกระตุ้นให้แข็งแรง การพูดคุยแลกเปลี่ยนทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ จะทำให้เด็กเรียนรู้การทำงานร่วมกัน การรู้จักแบ่งปัน การแก้ปัญหาในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการจัดการกับอารมณ์ของตนเอง ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เกิดการพัฒนาระบบความคิด ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานของการปรับตัวเข้าสังคมเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เด็กได้ค้นพบตัวเอง ได้ซึมซับทักษะต่างๆ เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ของตัว เอง และได้รับการพัฒนาอย่างรอบด้านอย่างแท้จริง”


