ราชรถปืนใหญ่ พระเกียรติยศอย่างทหาร
หนังสือเรื่องเสด็จสู่แดนสรวง ศิลปะ ประเพณี และความเชื่อในงานพระบรมศพและพระเมรุมาศ
โดย ส.สต
หนังสือเรื่องเสด็จสู่แดนสรวง ศิลปะ ประเพณี และความเชื่อในงานพระบรมศพและพระเมรุมาศ จัดรวบรวมและพิมพ์โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมิวเซียมสยาม รวบรวมบทความต่างๆ จำนวน 19 บท ที่แต่งและรวบรวมโดยอาจารย์และนักเขียนที่มีชื่อเสียงทั้งสิ้น เป็นหนังสือรวบรวมบทความที่มีคุณค่าในการศึกษาความเป็นไปของสังคมไทย เช่น เรื่องธรรมเนียมตะวันตกในพระราชพิธีพระบรมศพกษัตริย์สยาม ที่เขียนโดยอาจารย์วสิน ทับวงษ์ นั้น เล่าเรื่องตั้งแต่สยามเปิดประเทศในสมัยรัชกาลที่ 4 ที่รับความเปลี่ยนแปลงจากตะวันตกเข้ามา หนึ่งในนั้นคือธรรมเนียมในพระราชพิธีพระบรมศพจากตะวันตกเข้ามาประยุกต์และปรับใช้ ทั้งนี้เพื่อให้พระราชพิธีมีความทันสมัยและมีความศิวิไลซ์ภายใต้จารีตประเพณีของสยามแต่ดั้งเดิมด้วย
สยามอัศจรรย์วันนี้ขอถ่ายทอดบางส่วนบางตอนเกี่ยวกับเรื่องราชรถปืนใหญ่ พระเกียรติยศอย่างทหาร เพราะในพระราชพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร นั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร โปรดฯ ให้ราชรถปืนใหญ่เป็นราชรถที่จะใช้อัญเชิญพระโกศพระบรมศพ
แนวคิดในการใช้ราชรถปืนใหญ่นี้เริ่มต้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2459 (ราชกิจจานุเบกษา 2459 : 703) แต่ใช้สำหรับพระบรมศพพระมหากษัตริย์พระองค์แรกคือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ทรงรับสั่งไว้ก่อนสวรรคตว่า ขอให้จัดแต่งรถปืนใหญ่เป็นรถพระบรมศพ เพราะข้าพเจ้าเป็นทหาร อยากใคร่เดินทางสุดท้ายนี้อย่างทหาร" (ยิ้ม ปัณฑยางกูร และคณะ 2528 : 258)
อย่างไรก็ตาม น่าสังเกตด้วยว่า ในงานพระบรมศพสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียเมื่อ ค.ศ. 1901 (พ.ศ. 2444) หีบพระบรมศพของพระองค์ก็วางบนรถปืนใหญ่ (Gun Carriage) เช่นกัน ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า แนวคิดในการใช้ราชรถปืนใหญ่ของราชสำนักสยามนั้นได้รับต้นแบบมาจากแนวคิดของอังกฤษเช่นกัน
เมื่อสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสด็จทิวงคตที่ประเทศสิงคโปร์ ทางราชการอังกฤษได้ถวายเกียรติยศ โดยมีทหารราบอังกฤษตั้งแถวรายทางจากจวนผู้สำเร็จราชการไปจนถึงสถานีรถไฟ มีรถปืนใหญ่บรรจุหีบ พระศพ ซึ่งมีธงชาติสยามคลุม ในงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพที่ท้องสนามหลวงนั้น พระโกศทองใหญ่ที่พระราชทานในวันพระเมรุนั้นตั้งบนรถปืนใหญ่ด้วย
นับจากรัชกาลที่ 6 เป็นต้นมา การออก พระเมรุพระศพของบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ที่เป็นทหารได้จะโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระโกศโดยราชรถปืนใหญ่ เช่น งานพระเมรุ สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุฒิ กรมหลวงนครราชสีมา และต่อมาทรงระบุไว้ในพระราชพินัยกรรมส่วนพระองค์ ข้อที่ 11 ระบุว่า "ในการแห่พระบรมศพตั้งแต่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทไปถึงวัดพระเชตุพนให้ใช้พระยานมาศตามประเพณี จากวัดพระเชตุพนไปพระเมรุขอให้จัดแต่งรถปืนใหญ่เป็นรถพระบรมศพ เพราะข้าพเจ้าเป็นทหาร อยากจะใคร่เดินระยะที่สุดนี้อย่างทหาร" (สมภพ ภิรมย์ 2528 : 256)
เมื่อถึงงานพระเมรุมาศพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ จัดการพระบรมศพตามพระบรมราชโองการเป็นส่วนมาก แต่จะมีทรงเปลี่ยนแปลงบ้างก็เฉพาะที่ขัดกับโบราณราชประเพณีเท่านั้น จึงอัญเชิญพระบรมศพช่วงระหว่างจากวัดพระเชตุพนสู่ท้องสนามหลวงโดยพระมหาพิชัยราชรถ ครั้นถึงพระเมรุมาศจึงให้เชิญพระโกศพระบรมศพเลื่อนลงทางเกรินสู่ราชรถปืนใหญ่รางเกวียน (สมภพ ภิรมย์ 2528 : 257) ในงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พ.ศ. 2493 พระโกศถูกอัญเชิญจากพระมหาพิชัยราชรถขึ้นประดิษฐานบนรถบุษบกในรถปืนใหญ่ ซึ่งถอดปืนออกแล้วเพื่อใช้แห่เวียนรอบพระเมรุมาศโดยอุตราวัฏ
ในปีเดียวกันทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แปลงพระเมรุมาศรัชกาลที่ 8 เพื่อใช้เป็นพระเมรุพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ซึ่งทรงดำรงพระยศเป็นพลเอก โดยอัญเชิญพระโกศพระศพจากวังท่าพระขึ้นรถพระวิมานไปเปลี่ยนกระบวนเป็นรถปืนใหญ่ที่หน้าวัดพระเชตุพน มีพระราชาคณะนั่งราชรถเล็กนำกระบวนแล้วเคลื่อนพระโกศสู่พระเมรุที่ท้องสนามหลวง (เด่นดาว ศิลปานนท์ 2559 : 75)
นับตั้งแต่พระราชพิธีพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา ราชสำนักสยามปรับเปลี่ยนรูปแบบพระราชพิธีพระบรมศพและพระศพจากแบบแผนธรรมเนียมโบราณผสมผสานกับความเป็นสากลมากขึ้น โดยได้มีต้นแบบสำคัญจากราชสำนักอังกฤษ โดยเฉพาะในสมัยพระนางเจ้าวิกตอเรีย อาทิ เช่น ธรรมเนียมการกราบถวายพระบรมศพที่เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไป การแต่งกายด้วยชุดดำเพื่อไปงานศพและไว้ทุกข์ การย่อกระบวนแห่ให้เล็กลง และยังมีกระบวนทหารแทรกเข้าไปมากขึ้น และการใช้ราชรถที่เป็นรถปืนใหญ่
อาจกล่าวได้ว่า การปรับเปลี่ยนแบบแผนธรรมเนียมในพระราชพิธีพระบรมศพที่สอดแทรกธรรมเนียมตะวันตกเข้าไปนั้น ได้สะท้อนว่าสยามต้องการเป็นชาติที่ดูทันสมัย แต่ก็ยังต้องการคงอัตลักษณ์ของตนเองไว้ผ่านพิธีกรรม ซึ่งได้ใช้จนกระทั่งกลายเป็นแบบแผนธรรมเนียมที่สืบเนื่องต่อมาจนถึงปัจจุบัน


