posttoday

จงสุวัฒน์ อังคสุวรรณศิริ ‘เรียนศิลปะไม่จำเป็นต้องเป็นศิลปิน’

24 กรกฎาคม 2560

ทายาทนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ เอิง-จงสุวัฒน์ อังคสุวรรณศิริ วัย 28 ปี ลูกชายคนสุดท้องของ ศุภโชค อังคสุวรรณศิริ

เรื่อง กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย

ทายาทนักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ เอิง-จงสุวัฒน์ อังคสุวรรณศิริ วัย 28 ปี ลูกชายคนสุดท้องของ ศุภโชค อังคสุวรรณศิริ ผู้คร่ำหวอดในวงการอสังหาริมทรัพย์และนักสะสมงานศิลปะที่ได้ก่อตั้งหอศิลป์ ศุภโชค ดิ อาร์ต เซ็นเตอร์ ไว้เป็นพื้นที่สร้างโอกาสและแรงบันดาลใจให้กับวงการศิลปะไทย โดยวันนี้มีลูกชายในฐานะของผู้บริหารรุ่นใหม่เข้ามาสืบสานและต่อยอด

เอิงเล่าว่า ตนใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศตั้งแต่อายุ 10 ขวบจนจบปริญญาโท โดยเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยศิลปะ เอกเฉพาะทางภาพยนตร์ จากนั้นศึกษาต่อปริญญาโทด้านการตลาดเพื่อปูทางกลับมาสืบสานธุรกิจของครอบครัว

"ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะกลับมาช่วยธุรกิจที่บ้าน เพราะธุรกิจหลักของครอบครัวเราจะทำด้านอสังหาริมทรัพย์ทั้งโรงแรม บ้านเช่า หอพัก อพาร์ตเมนต์ ส่วนหอศิลป์เป็นธุรกิจที่เกิดจากความชอบสะสมของเก่าและงานศิลปะของคุณพ่อคุณแม่ ที่อยากมี พื้นที่จัดแสดงของสะสมและเปิดเป็นพื้นที่ให้ศิลปินไทยท่านอื่น เข้ามาจัดแสดงด้วย"

หอศิลป์ ศุภโชค ดิ อาร์ต เซ็นเตอร์ ก่อตั้งขึ้นราว 5 ปีก่อน โดยทายาทผู้นี้เริ่มเข้ามาจับจากการเป็นแค่ผู้ช่วย แต่ด้วยโอกาสและจังหวะชีวิตทำให้เขาเข้ามาจับธุรกิจหอศิลป์เต็มตัว จนต้องกลับไปเรียนปริญญาโทอีกใบในสาขาธุรกิจศิลปะเพื่อกลับมา บริหารงานหอศิลป์โดยตรง

"ถ้าเราอยากทำอะไรให้ดี เราต้องมีพื้นฐานความรู้ที่แน่นก่อน" ปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร "โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานกับศิลปิน เพราะงานศิลปะเป็นเหมือนลูกของเขา เขามาฝากลูกฝากความรักไว้กับเรา ดังนั้นเราต้องดูแลให้ดี ซึ่งตอนนี้เราสามารถพูดได้เต็มปากว่า ถ้างานศิลปะของคุณอยู่กับเราแล้วจะไปต่อได้ เติบโตได้"

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจหอศิลป์มีความแตกต่างจากธุรกิจอื่นอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตลาดที่เฉพาะกลุ่ม เรื่องของวัฒนธรรมที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องของคุณค่าทาง จิตใจที่ไม่สามารถตีราคางานศิลปะได้จากมูลค่าของวัสดุ หรือแม้กระทั่งเรื่องของคุณค่าความสวยงามที่ไม่สามารถประเมินราคาได้

จงสุวัฒน์ อังคสุวรรณศิริ ‘เรียนศิลปะไม่จำเป็นต้องเป็นศิลปิน’

ความเอาจริงเอาจังในธุรกิจประเภทนี้ทำให้เขาทำความเข้าใจมาตรฐานของหอศิลป์ในต่างประเทศ และกลับมาดูโครงสร้างของบ้านตัวเองใหม่ตั้งแต่ขั้นตอนแรกคือ การคัดเลือกศิลปินไปจนถึงการวางแผนนิทรรศการ และกิจกรรมที่จะทำในแต่ละปี เพราะในหนึ่งปีไม่ได้มองแค่ว่าจะมีนิทรรศการใดมาแสดงและจบไป แต่ต้องดูว่าในหนึ่งปีจะ "เล่าเรื่อง" อย่างไร ต้องเริ่มต้นด้วยศิลปินคนไหน และข้อความที่ต้องการสื่อออกมามีเรื่องอะไรบ้าง

อย่างปีนี้หอศิลป์ได้เล่าเรื่องราวที่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ตั้งแต่การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การอยู่ร่วมกันของคนหลายเชื้อชาติหลายศาสนา และระบบการศึกษา ดังนั้นการคัดเลือกศิลปินจึงไม่สามารถทำได้อย่างสะเปะสะปะ แต่ต้องผ่านกระบวนการคิดและการวางแผนล่วงหน้าทั้งสิ้น

"ความเปลี่ยนแปลงที่จะเห็นได้ชัดเจนน่าจะเริ่มจากปลายปีนี้ (2560) โดยเราจะนำงานของศิลปินหญิงมาจัดแสดงมากขึ้น หรือจากศิลปินหลากหลายสถาบันและหลากหลายประเทศมากขึ้น เพราะประเด็นเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต่างประเทศกำลังให้ความสำคัญ นั่นคือเรื่องของความเท่าเทียมในการแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นความเท่าเทียมในเรื่องศาสนา วัฒนธรรม เพศ หรือแม้กระทั่งความคิดที่เราจะทำให้เข้มข้นมากกว่าเดิม" ผู้บริหารรุ่นใหม่เผย

เอิงยังกล่าวด้วยว่า จากความบังเอิญที่ทำให้ต้องเดินบนธุรกิจหอศิลป์ แต่เมื่อได้ก้าวเท้าไปข้างหน้าแล้วเขากลับไม่สามารถเดินไปทางอื่นได้อีก เพราะหน้าที่ของแกลเลอรี่นอกจากจะสนับสนุนศิลปิน ยังจะช่วยผลักดันการสร้างตลาด สร้างมูลค่าให้กับศิลปิน สร้างมาตรฐาน รวมไปถึงสร้างผลงาน ซึ่งหอศิลป์ศุภโชคพยายามสนับสนุนศิลปินรุ่นเยาว์เพื่อก้าวไปสู่การเป็นศิลปินรุ่นใหญ่ เติบโตไปพร้อมกับหอศิลป์ขนาดเล็กเพื่อพัฒนาไปสู่หอศิลป์ขนาดใหญ่และมีบทบาทต่อสังคม

"คนรุ่นใหม่คือพลังสำคัญมากๆ ในวงการศิลปะไทย การสนับสนุนพวกเขาจึงทำให้เขาได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีและเหมาะสม ซึ่งเราอาจจะเป็นองค์ประกอบหนึ่งเล็กๆ ที่ช่วยสร้างระบบนิเวศใหม่ให้วงการศิลปะ คนรุ่นใหม่จะได้เติบโตไปและสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ค่านิยมใหม่ เทคนิคใหม่ให้กลับคืนมาสู่วงการศิลปะไทย เพื่อเป็นตัวขับเคลื่อนให้วัฒนธรรมไทยไม่มีวันตาย"

จงสุวัฒน์ อังคสุวรรณศิริ ‘เรียนศิลปะไม่จำเป็นต้องเป็นศิลปิน’

เอิงกล่าวถึงประเด็นศิลปะไทยไว้อย่างน่าสนใจว่า ถึงแม้ว่าศิลปินที่ทำงานศิลปะไทยดั้งเดิมยังเป็นที่ต้องการของตลาด ทั้งจากนักสะสมรุ่นใหญ่และวัดวาอารามที่ยังต้องการศิลปินไทยมีฝีมือ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงคนต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทยเพื่อศึกษาเรื่องราวของศิลปะไทย โดยที่เขาไม่มีความรู้พื้นฐานเรื่องศาสนาพุทธ งานที่เป็นพุทธอย่างเดียวอาจเป็นเสมือนกำแพงกั้นทางวัฒนธรรมระหว่างไทยกับต่างชาติ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ศิลปินไทยต้องการสื่อสารจะสามารถแปลงค่าอย่างไรให้เข้าใจง่ายขึ้นสำหรับตลาดสากลหรือคนธรรมดาทั่วไปให้สามารถสื่อสารภาษาเดียวกันผ่านงานศิลปะได้

นอกจากนี้ นักสะสมยังเป็นอีกหนึ่งกลไกที่สำคัญของวงการศิลปะ เขายกตัวอย่างประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ว่า นักสะสมของประเทศเหล่านี้จะสนับสนุนงานของศิลปินท้องถิ่นเป็นหลัก นั่นหมายความว่า หากประเทศใดเปิดการประมูลงานศิลป์ ศิลปินของประเทศเหล่านี้จะถูกจดบันทึกว่าได้ถูกประมูลผลงานไป ซึ่งทำให้ชื่อของศิลปินอยู่ในระดับต้นๆ และราคาของผลงานก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ ผิดกับนักสะสมชาวไทยที่มีกำลังซื้อสูงมักจะเลือกซื้องานต่างประเทศเป็นหลัก ทำให้เกิดเพดานปิดกั้นไม่ให้ศิลปินไทยขึ้นไปสู่ระดับนานาชาติ

"ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบ้านเรายังไม่มีโครงสร้างของตลาดมือสอง อย่างของเมืองนอกสมมติว่านักสะสมซื้องานของศิลปินเอไป พอได้สักระยะเขาอยากเก็บสะสมงานของศิลปินบีที่แพงกว่า เขาจะขายผลงานของศิลปินเอเพื่อนำกำไรมาบวกทุนแล้วซื้อผลงานของบี จึงทำให้เกิดการหมุนเวียนงานศิลปะและเกิดเป็นสังคมนักสะสมที่จะมาแลกเปลี่ยนงานกัน" เขาแสดงทัศนะ

"แต่นักสะสมชาวไทยถ้าเป็นรุ่นใหญ่เขาจะไม่ชอบบอกใครว่าซื้ออะไร จะไม่ให้ใครเห็นว่าสะสมอะไรไว้ จะมีก็ยุค หลังๆ ที่นักสะสมเริ่มนำของสะสมออกมาแชร์ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นการกระตุ้นให้นักสะสมรุ่นใหม่มีแรงบันดาลใจอยากสะสมงานศิลปะและศิลปินเองก็จะเป็นที่รู้จักมากขึ้น สุดท้ายก็เกิดเป็นการขยายขนาดวงการศิลปะไทยและสร้างความคึกคักมากขึ้น ซึ่งหอศิลป์ของเราก็พยายามให้นักสะสมมาเจอกันเพื่อสร้างสังคมนี้ให้ใหญ่ขึ้นด้วย"

ผู้บริหารรุ่นใหม่คนนี้มองว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าวงการศิลปะไทยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี เพราะอย่างหอศิลป์ศุภโชคฯ เองก็ได้ลงมือสร้างความเปลี่ยนแปลงบ้างแล้วคือ เรื่องการนำงานศิลปะไปสู่ชุมชน เพื่อให้ศิลปะกระจายออกไปยังหัวเมืองต่างๆ โดยลงพื้นที่แล้วในพิษณุโลก จากนั้นเร็วๆ นี้จะไปขอนแก่น และปิดท้ายที่เชียงใหม่ รวมถึงอีกหลายโปรเจกต์มากมายที่ยังเปิดเผยไม่ได้แต่จะสร้างแรงกระเพื่อมยิ่งใหญ่ให้วงการศิลปะไทยแน่นอน

ทว่าในฐานะคนวงใน ภาพที่เขาอยากเห็นมากที่สุดน่าจะเป็นการรวมตัวกันของหอศิลป์ต่างๆ เพื่อสร้างพลัง สร้างบทบาทในสังคมไทย และเพื่อสร้างสังคมแห่งศิลปะที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้โดยไม่ได้อยู่บนหิ้ง "ทุกคนต้องสามารถเข้าถึงงานศิลปะ และงานศิลปะก็ต้องเข้าไปให้ถึงทุกคน รวมถึงฟันเฟืองอย่างศิลปินและหอศิลป์ก็ต้องอยู่รอดไปด้วยกัน มันจึงเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบที่ท้าทายมาก แต่ในขณะเดียวกันเราก็ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน" เขากล่าวทิ้งท้าย n

ข่าวล่าสุด

ขนส่ง เตือน! รถติดถุงลมนิรภัยทาคาตะ เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เช็ก-เปลี่ยนฟรี