คุณกล้าทำในสิ่งที่คิดมั้ย ?
สมัยนี้ใครๆ ก็อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง อยากทำธุรกิจที่ตัวเองเป็นเจ้าของ ถือเป็นกระแสใหม่แห่งยุค
เรื่อง วันพรรษา อภิรัฐนานนท์ ภาพ กิจจา อภิชนรจเรข
สมัยนี้ใครๆ ก็อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง อยากทำธุรกิจที่ตัวเองเป็นเจ้าของ ถือเป็นกระแสใหม่แห่งยุค ที่ผู้คนไม่ต้องการก้มหน้าก้มตาทำงานให้แก่ใครอีกต่อไป เหนื่อยและทำเพื่อตัวเอง ทำได้ดีก็ตักเงินเข้ากระเป๋า ทำไม่ดีก็เรียนรู้ ล้มเองช้ำเอง ลุกสู้ใหม่ อะไรแบบนั้น
ทิปป-กาญจน์กีรติ เอื้อกูลวราวัตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิปส์ เนเจอร์ ผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพแนวธรรมชาติ "ทิพย์ธรรมชาติ" ก็เป็นอีกคนหนึ่ง ด้วย วัยเพียง 29 ปี ก่อตั้งบริษัทผลิตและส่งออก รวมทั้งจัดจำหน่ายในประเทศ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่ใช้วัตถุดิบปลอดภัย จากธรรมชาติ 100% เรื่องราวของเธอคือบทเรียนของ นักธุรกิจรุ่นใหม่
อยากเป็นนักธุรกิจมาตั้งแต่จำความได้ คุณครูถามนักเรียนในชั้นว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร เพื่อนๆ ตัวน้อยตอบได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ไม่ใช่ทิปป เพราะตอบได้ทันทีว่าอยากขายของ แสดงว่ารู้จักตัวเองดีมาก เพียงชั้นประถมต้น ป.2-3 ก็รู้จักไปหาซื้อของมาขายเพื่อนๆ แถมขายดีอีกต่างหาก
หาเงินได้ด้วยตัวเอง มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษที่สุด เท่าที่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะรู้สึกได้ ขณะนั้นอายุไม่ถึง 10 ขวบ ทิปปเป็นคนขาย ส่วนแฝดน้องทำหน้าที่เช็กลิสต์ รับเงินทอนเงิน ใครสั่งของอะไรไว้ตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้เชิญมารับของ รับของแล้วก็จ่ายเงินมาเสียดีๆ นักเรียนทั้งชั้น หรือจะเรียกว่าเกือบทั้งโรงเรียนก็ได้ เป็นลูกค้าขาประจำของเธอ
"ขายทุกอย่างที่ขายได้ มีตั้งแต่บะหมี่ซองสำเร็จรูป กระเป๋าสตางค์ กำไล แหวน ผ้าเช็ดหน้า และอีกมากมาย จนคุณครูเรียกผู้ปกครองมาพบ ก็เพราะเรื่องเอาของมาขายเพื่อนที่โรงเรียน แต่คุณพ่อก็ชัดเจนเหมือนกัน ไม่ได้ห้าม แต่ช่วยพาไปซื้อของเลย ที่จำได้คือพามาถึงสำเพ็ง กรุงเทพฯ มาซื้อพวกของกิฟต์ช็อปไปขาย" ทิปปเล่า
ทิปปเกิดที่โคราช แต่มาโตที่สกลนคร เนื่องจากครอบครัวย้ายรกรากไปทำการค้าที่นั่น พ่อเป็นลูกคนจีน เป็นลูกชายคนโตขยันทำมาหากิน อากงเป็นคนสร้างตู้เย็นขายคนแรกที่เมืองโคราชสมัยนั้น ส่วนบิดาก็สืบกิจการ ค้าขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่สกลนคร
สำหรับทิปป เธอเป็นฝาแฝดลูกคนโต มีแฝดน้อง 1 คน และน้องสาวอีกคน ที่บ้านไม่มีลูกชาย ชีวิตวัยเด็กเติบโตมากับการค้าขายและคลุกคลีตีโมงกับธุรกิจการค้าของที่บ้าน อย่าลืมธุรกิจขายของให้เพื่อนนักเรียนวัยเดียวกันที่โรงเรียนด้วย กิจการดีมาก ถึงขนาดที่ว่า ของในกระเป๋านักเรียนหิ้วไปโรงเรียน ในกระเป๋าแทบไม่มีหนังสือเรียน มีแต่ของที่เอาไปขายเพื่อน
ขณะเดียวกันก็วิ่งเล่นกลางทุ่ง มีความสุขมากๆ กับท้องทุ่งนาธรรมชาติ ทิปปรักอากงของเธอ อากงมีหลานหลายคน จำได้ว่าเมื่อไปเยี่ยมครั้งไร อากงจะให้หลานๆ ปีนขึ้นไปบนสิ่งก่อสร้างชนิดหนึ่งที่สูงมากๆ ใครปีนขึ้นไปถึงได้คนแรก อากงจะซื้อไอติมให้กิน เด็กๆ แข่งกันปีนป่าย ยังจำได้ถึงความรู้สึกที่อยากเป็นที่หนึ่งให้ได้มาจนถึงทุกวันนี้
ทิปปเรียกพ่อว่า ปาป๊า "อัครวัฒน์ เอื้อกูลวราวัตร" การที่เธออยากทำธุรกิจของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก มีความชัดเจนในตัวเองมากๆ ขอยกเครดิตให้ปาป๊า เมื่อเห็นลูกชอบพ่อก็สนับสนุน "ออร์เดอร์" ในแต่ละวันของลูกสาว มีปาป๊าคอยดูอยู่ห่างๆ ไม่ได้บังคับให้เรียนหนังสือให้ดี ต้องอ่านต้องไปเรียนพิเศษหรืออะไรแบบนั้น แต่ส่งเสริมว่าขอให้ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ
แม้ไม่มีความกดดันว่าต้องเรียนหนังสือให้ได้ดี แต่ทิปป ก็เรียนหนังสือด้วยทุนการศึกษาแทบจะทั้งหมด เธอจบมัธยมต้นแล้วได้ทุนการศึกษาไปเรียนไฮสกูลที่แคนาดา กลับมาเรียนทุนที่มหาวิทยาลัยมหิดล อินเตอร์เนชันแนล ระหว่างนี้ยังได้ทุนอีกหลายทุนไปเรียนภาษา เช่น ที่ญี่ปุ่น ที่จีน เยอรมนี และอินโดนีเซีย
"ปริญญาตรีเกือบเรียนด้านอาคิเทคเจอร์แล้ว แต่ "ข้างใน" ชัดเจนมากกระมัง มันทำให้ทิปปโง่ถึงขนาดไม่ยอม พลิกกระดาษคำถามอีกด้าน (ฮา) ในที่สุดก็เรียนบริหารธุรกิจ ซึ่งอยากเรียนและดีแล้วค่ะ" ทิปปเล่า
ทิปปตัดสินใจไม่ผิด ในใจของเธอคิดเองอยู่แล้วว่า ในที่สุดเธอจะต้องทำธุรกิจของตัวเองไม่ว่ามันจะคือธุรกิจอะไร สำคัญคือความรู้ และสำคัญกว่าคือ ประสบการณ์ที่นำมาใช้ได้จริง ประสบการณ์มาจากไหน ก็ต้องมาจากการลงมือทำซึ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้เรารู้จักและรู้ใจตัวเอง
"รู้ใจตัวเองสำคัญ เพราะในบางสถานการณ์เราอาจคิดว่าเรากล้า เรากล้าที่จะตัดสินใจแบบนั้นแบบนี้ แต่เอาเข้าจริง ต้องอาศัยประสบการณ์และการเรียนรู้ที่จะทำให้เรากล้า และตัดสินใจได้อย่างที่ต้องการจริงๆ" ทิปปเล่า
จบปริญญาตรีแล้วไปทำงานที่บริษัทเครื่องครัวพรีเมียมแห่งหนึ่ง เกือบถูกบรรจุเป็นฝ่ายจัดซื้ออยู่รอมร่อ แต่เพราะไม่ยอมให้ตัวเองเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่แม่ค้าขายของ จึงไปต่อรองขอเป็นฝ่ายขายแทน แน่นอนที่สุดและทำให้เธอได้ประสบการณ์ในการขายของที่ดีมากๆ จริงๆ ด้วย จากนั้นได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาโทด้านบิซิเนสที่สหรัฐ ทิปปตัดสินใจบินไปเรียนต่อ (Kennesaw State University)
ทว่า มารดาป่วยเป็นเนื้องอก ทิปปบินกลับไทยมาดูแลแม่ในช่วงที่ต้องเดินทางขึ้นลงกรุงเทพฯ-สกลนคร เพื่อพาแม่พบแพทย์ ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะไม่ไปเรียนต่อ แต่จะอยู่ดูแลสุขภาพของแม่ให้ดีที่สุด น้าสาวแท้ๆ ของทิปปเองก็ป่วยเป็นมะเร็ง แม่จึงกลัวมาก ทิปปเองก็เช่นกัน
"คงจะให้อภัยตัวเองไม่ได้เลย ถ้าแม่เป็นอะไรไป" ทิปปเล่า
ข่าวดีก็คือเนื้องอกไม่ลุกลาม แพทย์ให้คุณแม่รับประทานยาเพื่อคุมอาการ แต่ต้องมาเช็กตรวจสอบผลแล็บต่างๆ ในทุกเดือนต่อเนื่อง ทิปปว่างและใช้เวลาช่วงนี้ สำรวจตรวจสอบตัวเองว่า จะทำอะไรต่อไป ความคิดความฝันเรื่องการทำธุรกิจของตัวเองไม่จางหายไปไหน หากแต่จะทำอะไรล่ะ
"ครอบครัวเรามีที่ดินว่างเปล่าที่ให้ชาวนาเช่าปลูกข้าว ทิปปก็คิดว่า จะปลูกข้าว แต่ข้าวของทิปปจะต้องเป็นข้าวปลอดสาร เพื่อให้แม่ได้กินด้วย เพื่อให้คนในบ้านได้กิน จะได้มีสุขภาพที่ดี ไม่เป็นโรคเป็นภัย"
เมื่อตั้งหลักก็ลุยเลย หากในระยะแรกความมุ่งมั่นเอาจริงของเธอถูกหัวเราะเยาะเย้ยจากสมาชิกทุกคนในบ้าน ทิปปเดินทางไปสมัครเรียนการปลูกข้าวที่มูลนิธิข้าวขวัญ จ.สุพรรณบุรี บุกป่าฝ่านากล้าหาญ เหงื่อเม็ดโป้งๆ ผุดเต็มหน้าเวลาไปหว่านดำจริงๆ แต่สู้
"เขาแจ้งมาว่าให้เตรียมอุปกรณ์ไปเรียนด้วย เช่น รองเท้าบู๊ต ทิปปก็หยิบเอาไปแบบไม่ได้คิดอะไร เหมือนหยิบบู๊ตที่มีอยู่ติดมือไป พอเวลาไปลงนาจริงๆ มันตลกมาก เพราะบู๊ตของทิปปเป็นบู๊ตแฟชั่น มีอยู่คนเดียวที่สวมบู๊ตสีชมพูแป๊ด มีโบหวานแหววผูกด้วย น่าหัวเราะจริงๆ ค่ะ"
กลับมาสกลนครก็ไฟแรงมาก แต่ก็เหมือนทุกคนจะไม่ยังค่อยเชื่อ ขนาดปาป๊าผู้คอยสนับสนุนลูกสาวคนโตมาตลอด ก็ยังสงวนท่าที หากยอมให้ที่ดินพอแบ่งมาทำนา 16 ไร่ มีแต่การมองดูอยู่ห่างๆ ทิปปเหมือนบั่นทอนเล็กๆ แต่ฮึดสู้ คิดว่าต้องทำให้ได้ เพื่อให้ทุกคนยอมรับแล้วจะง่ายไปเอง
จริงอย่างนั้นมั้ย ก็จริง... แต่ก็เป็นอะไรที่ต้องทุ่มเทสุดกำลัง ทิปปไม่ได้ทำนาแบบธรรมดา แต่ทำนาปลอดสาร ใช้หลักวิชานาอินทรีย์ ซึ่งแถวบ้านย่านที่ไม่เคยมีชาวนาคนใดที่ทำนาปลอดสารมาก่อน แม้แต่ชาวนาเพื่อนบ้านก็มองเธอเหมือนตัวตลก ไม่เคยมีใครทำนาแบบนี้ ทุกคนได้แต่พูดแบบนี้ใส่หน้า
"ปาป๊ามาเปลี่ยนใจก็เมื่อวันหนึ่งที่ทิปปต้องไปหาซื้อ ขี้วัวมาทำปุ๋ย ป๊าขับกระบะไปให้ เราซื้อได้แล้วแต่เจ้าของคอกให้เราขนขี้วัวขึ้นรถเอง ทันทีฝนก็ตั้งท่า ทิปปกับพ่อช่วยกันขนขี้วัวทั้งคอกขึ้นหลังรถอย่างเร็ว ไม่ทันแล้ว ฝนค่อยๆ โปรยลงมาแล้ว วันนั้นคือวันแรกในชีวิต ที่ทิปปมีแต่ขี้ตั้งแต่หัวจรดเท้า"
ทิปปตะโกนผ่านสายฝนบอกพ่อว่า "นี่ขี้จริงๆ นะพ่อ" แล้วทิปปก็หัวเราะงอหาย พ่อคงได้แต่คิดว่า ลูกสาวของเรากำลังทำอะไรอยู่ (ฮา) แต่ทิปปไม่หยุด ทิปปบอกว่า เธอรู้ว่าเธอทำอะไร ไม่รู้สึกรังเกียจอะไรกับขี้วัว ไม่รู้สึกว่าเป็นขี้ด้วยซ้ำ คนอื่นทำได้เราก็ต้องทำได้ จากนั้นมาพ่อเปลี่ยนท่าที แม้จะยังไม่สนับสนุนเต็มตัวนักก็ตาม
ปัจจุบันทิพย์ธรรมชาติก่อตั้งได้ 1 ปีเศษ ทุกอย่างเอาต์ซอร์สบุคลากรในต่างประเทศ ทำให้ต้นทุนการดำเนินธุรกิจต่ำ ปัจจุบันทำการผลิตและจำหน่ายข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวกล้องหอมมะลิ และข้าวฮาง (ซึ่งใช้ข้าวหอมมะลิมาทำ) รวมทั้งสายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพอื่นๆ เช่น น้ำมะเม่า "ทิพย์" รสเปรี้ยวหวานฝาดอร่อย และซีเรียลข้าว เป็นต้น (www.thipnature.com)
"ตอนเด็กๆ ทิปปเดินเท้าเปล่าในนา" ทิปปเล่าย้อนถึงความสุขวัยเด็กเมื่อไปเยี่ยมอากง ทุกครั้งจะถอดเท้าวิ่งเล่นกับญาติๆ วัยเดียวกัน ตะลอนในท้องทุ่งท้องนา จำได้ว่ามันมีความสุขมากแค่ไหน ดีใจที่ได้กลับมาใช้ชีวิตกลางทุ่งนาอีกครั้ง ได้ถอดรองเท้าเดินเท้าเปล่า ได้ทำธุรกิจเพื่อสุขภาพ ได้ทำสิ่งที่อยากทำ
"สำหรับนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่อยากเดินขึ้นมา ถามตัวเองว่า คุณกล้าทำในสิ่งที่คุณคิดมั้ย อย่ามัวแต่อยาก หรืออย่ามัวแต่ตั้งคำถามนู่นนี่ ตอบแล้วลงมือเลยค่ะ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม" n


