posttoday

ยุบหนอพองหนอกับอริยมรรค(๒)

16 กันยายน 2553

สมาธิในขั้นอุปจาระหรืออัปปนานั้น ถ้าอยู่ในขั้นของความพร้อมเมื่อตั้งอยู่ที่ฐานกาย ก็จะสอดส่องในกายภาพที่เป็นรูปหรือมหาภูตรูปนี้ หรือจะแจกแจงแตกกระจายเป็นอาการทั้ง ๓๒ ตั้งแต่เกศาผม จนสุดท้ายไปถึงส่วนดินที่เป็นมัตถลุงคัง– เยื่อในกะโหลกศีรษะ หรือไล่ตั้งแต่ ปิตตัง–น้ำดี เสมหัง–น้ำเสลด จนถึงที่สุด มุตตัง–น้ำมูตร โดยไล่อาการ ๓๒ เห็นเป็นปฏิกูล เป็นอสุภะ ให้เห็นสภาพความจริงของมหาภูตรูป ๔ สักแต่ว่ากายนี้เป็นธาตุ เป็นสัตตาวาส เป็นของไม่ยั่งยืน หรือเห็นในอายตนะ ๑๒ ภายนอก ภายในที่เกิดจากอินทรีย์ก็แล้วแต่ หรือขันธ์ ๕ จะเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดขึ้นมา จิตก็จะมีตัวรู้เกิดขึ้น

สมาธิในขั้นอุปจาระหรืออัปปนานั้น ถ้าอยู่ในขั้นของความพร้อมเมื่อตั้งอยู่ที่ฐานกาย ก็จะสอดส่องในกายภาพที่เป็นรูปหรือมหาภูตรูปนี้ หรือจะแจกแจงแตกกระจายเป็นอาการทั้ง ๓๒ ตั้งแต่เกศาผม จนสุดท้ายไปถึงส่วนดินที่เป็นมัตถลุงคัง– เยื่อในกะโหลกศีรษะ หรือไล่ตั้งแต่ ปิตตัง–น้ำดี เสมหัง–น้ำเสลด จนถึงที่สุด มุตตัง–น้ำมูตร โดยไล่อาการ ๓๒ เห็นเป็นปฏิกูล เป็นอสุภะ ให้เห็นสภาพความจริงของมหาภูตรูป ๔ สักแต่ว่ากายนี้เป็นธาตุ เป็นสัตตาวาส เป็นของไม่ยั่งยืน หรือเห็นในอายตนะ ๑๒ ภายนอก ภายในที่เกิดจากอินทรีย์ก็แล้วแต่ หรือขันธ์ ๕ จะเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดขึ้นมา จิตก็จะมีตัวรู้เกิดขึ้น

โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส

ที่พูดถึงเรื่องของยุบหนอพองหนอสร้างตัวรู้ด้วยญาณ แต่ตัวรู้ที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นในอำนาจของสมาธิที่ตั้งมั่น ตัวรู้ที่เกิดความเข้มแข็งนั้นสมาธิต้องเป็นชั้นสูง เรียกว่าสมาธิปริยายเบื้องสูง ที่ว่าด้วยวิตกะ วิจาระ ปีติ สุข เอกัคคตา ที่เรียกว่าองค์สมาธิชั้นสูง หรืออำนาจขององค์รูปฌานที่จิตนั้นเกิดญาณรู้ขึ้น ซึ่งเป็นสมาธิที่ต่อเนื่องจากอัปปนาสมาธิในขั้นสมาธิเบื้องต้น คือสมาธิจะแก่กล้าขึ้นจนเกิดญาณรู้ หรือสมาธิมีความพรั่งพร้อมที่จะนำไปพิจารณาจนเกิดญาณรู้ก็ย่อมได้ เอาญาณรู้นั้นสอดส่องธรรมก็จะเกิดอุคคหนิมิตขึ้น เห็นสภาพความจริงที่เรียกว่าเห็นธรรมในธรรม จากกายภาพ จากสภาพของเวทนาเรียกว่า

“ค้นคว้ากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม”

การค้นคว้าภายในนั้นใช้ญาณรู้เข้าไปค้นคว้าที่สภาพของธรรมปรากฏเกิดขึ้น และโดยอำนาจของสติที่มีปัญญานำ ก็จะมีความแกล้วกล้าในการสอดส่องมองเห็นความจริง หรือเกิดจักขุขึ้นที่ดวงจิต จะเห็นความจริงของสภาพธรรมที่ปฏิภาคออกมาเป็นส่วนที่มีความชัดแจ้ง เพื่อมาทำวิจัย–ธัมมวิจยะ หรือวิจัยธรรมดังกล่าวให้เห็นความจริงของปรากฏเกิดการณ์ของรูปนามหรือโลกธาตุ โลกธรรมนี้ว่าไม่เที่ยง สภาพที่ไม่เที่ยงดังกล่าวนั่น ก็คือเห็นสภาพที่ก่อเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และขณะหนึ่งก็แตกดับ เห็นความเกิดความดับของ รูปนามขันธ์ ๕ หรือโลกขันธะนี้ หรือสภาพของโลกธาตุนี้ หรือสังขารธรรมนี้ แล้วแต่เราจะเรียกชื่อทางปริยัติว่ามีสภาพเห็นความเกิดความดับ ซึ่งเป็นอาการหนึ่งในวัฏสงสาร

และวิถีความเกิดดับไม่เที่ยงนี้มันให้ความทุกข์

ทุกข์เพราะความเปลี่ยนแปลง

ทุกข์เพราะความพลัดพราก

ทุกข์เพราะความไม่สมปรารถนา

ทุกข์เพราะมันไม่อยู่ในอำนาจของเราที่ควบคุมให้เป็นไป

ทุกข์เพราะไม่สามารถป้องกันให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้

ทุกข์เพราะเราไม่สามารถเป็นใหญ่ในสภาพธรรมทั้งหลาย

ความคับแค้นใจ ความขุ่นใจ ความเคืองใจจึงเกิดขึ้น ความเกิดขึ้นดังกล่าว เช่น เกิด แก่ เจ็บ ตาย เคลื่อนไหวไปตามความไม่เที่ยง

จึงกล่าวว่า “ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นเป็นลักษณะของความทุกข์” และความทุกข์ที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นแสดงให้เห็นว่ามันพลัดพรากจากสิ่งที่รัก พบสิ่งที่ไม่รักและไม่สมปรารถนา

สรุปจุดสุดท้ายของความทุกข์ที่เป็นทุกข์แท้ เพราะเราไปยึดมั่นยึดถือที่เป็นตัวทุกข์ ดังนั้นกัมมัฏฐานจึงเป็นการถอดถอนการยึดมั่นยึดถือจากสิ่งที่เรามองเห็นว่าไม่เที่ยง เป็นความทุกข์ และเพราะมันเป็นอนัตตา

กฎความเป็นอนัตตานี้ เป็นจุดรวบยอดแก่นธรรมของพระพุทธศาสนา เป็นการรวบยอดของแก่นธรรม แก่นแท้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในธรรมอันเป็นไปที่สุดคือกฎอนัตตา

พระพุทธองค์ประกาศกฎอนัตตาขึ้นในชมพูทวีป เมื่อปฐมพรรษาครั้งประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แสดงพระสูตรดังกล่าวเรียกว่า อนัตตลักขณสุตตัง ที่กล่าวว่า

๐ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง

พระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ กล่าวว่า “ไม่เที่ยงพระเจ้าค่ะ”

๐ สิ่งนั้นไม่เที่ยงเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า

พระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ทูลกล่าวว่า “เป็นทุกข์พระเจ้าค่ะ”

๐ สิ่งใดไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่นเป็นนี่ นั่นไม่ใช่ตนของเรา

พระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ กล่าวว่า “ไม่ควรเห็นอย่างนั้นพระเจ้าค่ะ”

นั่นหมายความว่าความเห็นนั้น เกิดความชอบธรรมขึ้นในจักขุในดวงตาธรรมของพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ลำดับญาณนั้นเกิดเห็นความจริงตั้งแต่เบื้องต้นที่เรียกว่าอุทยัพพยญาณ หรืออุทยัพพยานุปัสสนาญาณเกิดขึ้นแล้ว เห็นความเกิด ความดับ ของรูปนามขันธ์ ๕ ให้เห็นความจริงที่พิจารณาลึกซึ้งเข้าไปในความหมายของธรรม ที่เห็นความแตกดับของจิตคือตัวคิดตัวนึกนั้น ให้เห็นความจริงเหมือนพยับแดดเมฆหมอกที่อยู่เบื้องหน้า และเคลื่อนไหวไปมาได้ เห็นความจริง เหมือนกับสภาพของฟองน้ำที่ผุดขึ้นแล้วก็แตกกระจายไป เห็นความจริงว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ แปรปรวนเป็นอย่างนี้จริงๆ เกิดมาแล้วก็ดับไป เกิดญาณรู้ขึ้นในญาณที่ ๒ ในวิปัสสนาญาณที่สายยุบหนอพองหนอชอบนำมาสอนกัน เรียกว่าญาณนั้นปรากฏเกิดขึ้นเรียกว่าภังคญาณ หรือภังคานุปัสสนาญาณ

เมื่อจิตลำดับลึกซึ้งเข้าไปในความหมายต่อเนื่อง ก็เห็นว่าภายในสังขารนั้นดุจกองไฟ ๓ กองในวัฏสงสาร ในภพ ๓ ภพ ดุจกองไฟ ๓ กองที่สัตว์ทั้งหลายล้วนแล้วแต่อยู่ในความทุกข์โทษอันเกิดจากสังขารนั้น จึงเห็นภัยที่เกิดขึ้นดังกล่าวนั้นจากสังขาร และจากความเป็นไปของสังขารที่เรียกว่า ภยตูปัฏฐานญาณ หรือภยตูปัฏฐานุปัสสนาญาณ

 

ข่าวล่าสุด

ครม. ทบทวน EV3 เพิ่มความยืดหยุ่น หนุนไทยสู่ฐานผลิต EV โลก