ยุบหนอพองหนอกับอริยมรรค
ปุจฉา : กราบนมัสการพระอาจารย์ โยมได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดร่ำเปิง จ.เชียงใหม่ มาเมื่อวันที่ ๗–๑๔ ส.ค. ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นวันแม่ เป็นการจัดของมูลนิธิทางธรรม ได้มีข้อสงสัยในการนั่งภาวนาเนื่องจากว่าได้ปฏิบัติทางสายพุทโธมาตลอด คือการดูลมหายใจ แต่พอไปปฏิบัติที่วัดร่ำเปิงซึ่งใช้วิธียุบหนอพองหนอ จึงเกิดความสับสนขึ้นในการปฏิบัติ และหลังจากได้ฟังธรรมะก็พบคำว่า อริยมรรคองค์ ๘ ซึ่งก็ยังไม่ทราบความหมาย จึงขอกราบเรียนถามพระอาจารย์ว่า อริยมรรคองค์ ๘ มีความเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติยุบหนอพองหนอ และภาวนา “พุทโธ” อย่างไร
ปุจฉา : กราบนมัสการพระอาจารย์ โยมได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดร่ำเปิง จ.เชียงใหม่ มาเมื่อวันที่ ๗–๑๔ ส.ค. ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นวันแม่ เป็นการจัดของมูลนิธิทางธรรม ได้มีข้อสงสัยในการนั่งภาวนาเนื่องจากว่าได้ปฏิบัติทางสายพุทโธมาตลอด คือการดูลมหายใจ แต่พอไปปฏิบัติที่วัดร่ำเปิงซึ่งใช้วิธียุบหนอพองหนอ จึงเกิดความสับสนขึ้นในการปฏิบัติ และหลังจากได้ฟังธรรมะก็พบคำว่า อริยมรรคองค์ ๘ ซึ่งก็ยังไม่ทราบความหมาย จึงขอกราบเรียนถามพระอาจารย์ว่า อริยมรรคองค์ ๘ มีความเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติยุบหนอพองหนอ และภาวนา “พุทโธ” อย่างไร
โดย...พระอาจารย์อารยะวังโส
ขนิษฐา ดวงสงค์
มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่
วิสัชนา : ความจริงการปฏิบัติ “ยุบหนอพองหนอ” ก็เป็นสายสติปัฏฐาน ๔ คือทุกๆ กองกัมมัฏฐานจะมุ่งเน้นเรื่องการสร้างสติ หรือความระลึกรู้ชอบ แม้ “พุทโธ” ที่เป็นการบริกรรมแบบพระป่าสายหลวงปู่มั่น ก็เป็นการทำสติให้รู้ชอบ ระลึกรู้ หรือทำจิตให้เข้มแข็งขึ้นเช่นกัน เพื่อใช้สติควบคุมจิตให้จิตตั้งมั่นจนมีอาการของตัวผู้รู้เกิดขึ้น แล้วนำไปพิจารณาให้เห็นความจริงที่ปรากฏแห่งธรรมชาติทั้งหลาย
โลกขันธะ ก็คือรูปนามขันธ์ ๕ ของเรา เพื่อให้เห็นความจริงว่าโลกขันธะ หรือรูปนามขันธ์ ๕ นี้ก็คือสภาพธรรมอันหนึ่ง ที่อยู่ในกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ คือ ความไม่เที่ยง แปรปรวน ยักย้าย ถ่ายเท ซัดส่ายไปตามวิถีของมัน และมีสภาพแห่งความทุกข์อันเป็นอาการที่แฝงอยู่กับความไม่เที่ยงนั้น คือ บีบเค้น บีบคั้น ส่งผลกระทำต่อผู้ที่เข้าไปยึดถือ หรือผู้รู้นั้น หรือผู้กระทำนั้น และแสดงให้เห็นเหตุแห่งความจริงของสภาพปัจจัยของมัน คือความเป็นเหตุและปัจจัยที่ไม่ใช่ความเป็นตัวตน คือให้เห็นสภาพความจริงว่า
ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน ก่อเกิดขึ้นตั้งอยู่ขณะหนึ่งและแตกดับไป
สรุปแล้วก็คือ ให้เห็นความดับ อันเป็นปรากฏการณ์ลักษณะของความไม่เที่ยง
การเจริญสติปัฏฐานในสายแบบแผนของพม่า ในสมัยของพระพุทธโกษาจารย์ หรือพระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) ต้องการให้วัดมหาธาตุเผยแพร่การปฏิบัติ ซึ่งรับแนวการปฏิบัติ แบบการเจริญ “รู้หนอ” คือการกำหนดให้ทันอาการการรู้ทั้งปวง ซึ่งเป็นการเพิ่มพูนทั้งสติและสัมปชัญญะ เพื่อไม่ให้หลงใหลไปในวิถีต่างๆ ที่ปรุงแต่ง ให้รู้เท่าทัน ให้เห็นความจริงของความเกิด – ความดับ ความสูญสลาย ความแตกไป ให้เห็นความไม่เที่ยงของสังขารขันธ์ทั้งหลาย และให้เห็นความน่ากลัวของสังขาร ให้เห็นความเป็นโทษเป็นภัยของสังขาร ให้เห็นความน่าเบื่อหน่ายในสังขาร เบื่อหน่ายและต้องการเลิกต้องการหนีออกจากสังขารนั้น พิจารณาความจริงในความหมายที่ต้องการละ เลิก และหนีออกจากสังขารนั้น จนที่สุดแล้วสังขารนั้นได้ถูกเพิกถอนไป และปรากฏให้เห็นความจริงในพระอริยสัจในขั้นสุดท้ายที่เรียกว่าญาณสุดท้ายหรือสัจจานุโลมิกญาณ
ดังนั้น เราจะเห็นว่าในสายของการเจริญสติปัฏฐานแบบยุบหนอพองหนอนั้น จะกำหนดเน้นการกำหนดรู้เท่าทันสิ่งปรุงแต่งที่เกิดขึ้น และเป็นไปของสังขาร และเห็นเป็นโทษ เป็นภัย เป็นทุกข์ เพราะเพิกถอนสังขาร เมื่อเห็นความจริงของสังขารดังกล่าวนั้น ก็ประกาศความจริงที่เกิดขึ้นในขั้นสุดท้าย เพื่อให้เห็นความจริงในขั้นอริยสัจ ซึ่งเป็นความจริงที่เป็นไปเพื่อความไม่เป็นโทษ ไม่เป็นทุกข์ เป็นไปเพื่อความสิ้นทุกข์ สิ้นโทษทั้งปวง ซึ่งอยู่ในขั้นสุดท้ายของจิตที่มีญาณตัวรู้เกิดขึ้น กระบวนการดังกล่าวเป็นกระบวนการอบรมความพรั่งพร้อมร่วมกันทั้งสมถะและวิปัสสนา คือ ทั้งรู้ ทั้งทำความสงบให้เกิดขึ้น และทำปัญญาไปพร้อมๆ กันก็ว่าได้ โดยบางครั้งจะพูดว่า “เอาวิปัสสนานำสมถะ” ก็พอเป็นไปได้ หรือจะพูดว่าเป็นวิปัสสนาล้วนนั้นก็พอจะว่าได้เช่นเดียวกัน
ส่วนในสายของหลวงปู่มั่นจะเน้นสู่วิถีที่เอาสมถะเป็นเบื้องต้น คือทำจิตให้สงบอยู่กับพุทโธ จนจิตกับพุทโธรวมตัว คือจิตระลึกรู้ หรือบริกรรมพุทโธ กับพุทโธนั้นเป็นตัวเดียวกัน จนที่สุดนั้น จิตรวมนิ่งอยู่กับธรรมนั้น ยกสู่อารมณ์ของกัมมัฏฐานคือจิตมีความตั้งมั่นหรือมีสมาธิ และระดับสมาธิก็แก่กล้าขึ้นไปตั้งแต่ขณิกะ อุปจาระ และอัปปนาสมาธิ เมื่อจิตสงบนิ่งมีความตั้งมั่นอยู่สมาธิขั้นสูง คือขั้นอัปปนาสมาธิ กำลังจิตจะมีความเข้มแข็ง ไม่ซัดส่ายไปคิดเรื่องต่างๆ ก็พร้อมที่จะนำมาพิจารณาธรรมได้ ก็เอาจิตที่มีความพรั่งพร้อมแล้วนี้มาพิจารณาธรรม โดยลดกำลังของสมาธิลงเพื่อไม่ให้เข้าไปสู่จุดของความเป็นอุเบกขาของ เอกัคคตาอุเบกขา ซึ่งเป็นความนิ่งสงบหนึ่งเดียวแต่ว่ามีอารมณ์เป็นอุเบกขา ก็ถอยสมาธิลงมาในขั้นอุปจาระ ก็คือสมาธิที่ควบคุมจิต คือสติควบคุมจิตให้อยู่ในขั้นการทำงานได้ ไม่นิ่งเกินไป แต่ไม่วิ่งแส่ส่ายไปในวิถีต่างๆ หรือไปเที่ยวในพื้นที่ต่างๆ ไปเที่ยวนอกวิถี คือสามารถใช้ทำงานในส่วนใดส่วนหนึ่งที่ต้องการอย่างต่อเนื่องได้ คือไม่บีบเค้นเกินไป แต่ไม่คลายเกินไป เป็นสมาธิที่ใช้งานได้ในขั้นอุปจารสมาธิ และก็มาพิจารณาซึ่งไม่ใช่มานั่งนึกคิด
อ่านต่อฉบับหน้า


