ชีวิตสโลว์ไลฟ์ ในรีสอร์ทสีเขียว
สาวสวยหน้าหวานวัย 31 ปี ปุย-กงแก้ว พิพัฒนชัยภูมิ คือคนรุ่นใหม่ที่มีวิถีชีวิต 2 พาร์ต ทั้งการเป็นเวิร์กกิ้ง วูแมนในเมืองใหญ่
โดย...ภาดนุ
สาวสวยหน้าหวานวัย 31 ปี ปุย-กงแก้ว พิพัฒนชัยภูมิ คือคนรุ่นใหม่ที่มีวิถีชีวิต 2 พาร์ต ทั้งการเป็นเวิร์กกิ้ง วูแมนในเมืองใหญ่ และช่วยดูแลธุรกิจรีสอร์ทของครอบครัวที่อิงแอบแนบชิดธรรมชาติแบบวิถีสโลว์ไลฟ์ เรื่องนี้มีที่มาอย่างไร ไปฟังจากปากเธอกันเลย
“ตอนนี้ปุยกำลังเรียนปริญญาโท คณะนิเทศศาสตร์การตลาด เอกสื่อสารแบรนด์ ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และช่วยดูแลรีสอร์ทชื่อ ‘ภูพิพัฒน์ รีสอร์ท’ ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัวที่ อ.ท่าวังผา จ.น่าน โดยรับหน้าที่ พีอาร์ มาร์เก็ตติ้ง ทางด้านออนไลน์ทั้งหมด รวมถึงการจองห้องพักของลูกค้า นอกจากนี้ปุยยังเป็นเออี (AE) ให้กับบริษัท ไทย คราฟท์ เบียร์ ซึ่งเป็นบริษัทของรุ่นพี่ที่ทำธุรกิจจำหน่ายเบียร์ยี่ห้อ ‘สโตน เฮด’ กับ ‘ลำซิ่ง’ ด้วยค่ะ
‘ภูพิพัฒน์ รีสอร์ท’ เป็นรีสอร์ทสไตล์ล้านนาประยุกต์ ตั้งอยู่บนพื้นที่เกือบ 10 ไร่ ถือเป็นรีสอร์ทขนาดเล็กที่เน้นในเรื่องการบริการที่อบอุ่นเหมือนครอบครัว มีห้องพักทั้งหมด 15 ห้อง มีบ้านพักหลังใหญ่ 1 หลัง หลังเล็ก 2 หลัง แล้วยังมีพื้นที่ที่สามารถกางเต็นท์ได้ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวจะมาเที่ยว จ.น่านกันเยอะตั้งแต่เดือน ต.ค.-ม.ค. ของทุกปี ซึ่งตรงกับช่วงหน้าหนาวพอดี แต่ถ้าใครชอบบรรยากาศเขียวๆ สดชื่นๆ แนะนำให้มาในช่วงปลายฝนต้นหนาว คือตั้งแต่เดือน ก.ค.-ก.ย. เลยค่ะ”
ปุยบอกว่า ลูกค้าที่มาพักที่รีสอร์ทส่วนใหญ่ มีทั้งหน่วยงานต่างๆ และคนทั่วไป อย่างหน่วยงานราชการก็มักจะมาจองห้องพักกันเป็นหมู่คณะเวลาที่มาอบรม หรือคนทั่วไปก็จะมีการจองที่พักล่วงหน้าเวลาที่มาเที่ยว เป็นต้น
“อย่างที่บอกว่ารีสอร์ทของเรามีเนื้อที่แค่ 10 ไร่ แต่จุดเด่นก็คือเป็นรีสอร์ทที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติของต้นไม้และภูเขา แล้วเรายังมีพื้นที่สำหรับปลูกผักปลอดสารพิษตามฤดูกาลบริเวณหน้ารีสอร์ท เพื่อให้ลูกค้าที่มาพักได้ตัดหรือเก็บผักเหล่านี้ไปรับประทานได้ฟรีๆ เลยละ ซึ่งผักปลอดสารพิษที่เราปลูกนี้ มีทั้ง บร็อกโคลี่ กะหล่ำปลี และกะหล่ำดอก ลูกค้าที่มาพักอยากจะเก็บไปฝากคนที่บ้าน หรือจะเก็บผักแล้วมาทำอาหารกินเองที่รีสอร์ทเลย เราก็มีห้องครัวใหญ่ไว้คอยให้บริการเช่นกัน หรือใครจะซื้อวัตถุดิบจากข้างนอกแล้วมาใช้ครัวเราปรุงอาหารก็ได้ ซึ่งเราจะไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มจากราคาที่พักเลยค่ะ”
ปุยบอกว่า ที่รีสอร์ทจะปลูกผักตลอดทั้งปี เพราะตั้งใจปลูกไว้เพื่อให้บริการแก่ผู้ที่มาพักอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีการปลูกพันธุ์ไม้บางชนิดที่ลูกค้าเห็นแล้วชอบมากๆ เช่น กล้วยไม้ หรือพืชที่สามารถตัดกิ่งไปชำได้ ถ้าลูกค้าคนไหนอยากจะนำไปปลูกที่บ้านก็สามารถมาขอกับทางรีสอร์ทได้เลย
“อย่างที่บอกว่าผู้คนจะเดินทางมาท่องเที่ยว จ.น่าน หรือโทรมาจองที่พักกันเยอะมากๆ ในช่วงหน้าหนาว ซึ่งถือเป็นช่วงไฮซีซั่น ของสถานที่ท่องเที่ยวในโซนภาคเหนือ ลูกค้าบางรายจองข้ามปีเลยก็มี แต่ในช่วงหน้าฝนก็มีนักท่องเที่ยวมาเยอะพอสมควร ส่วนมากคนกลุ่มนี้จะชอบความเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้าในหน้าฝน พวกเขาก็เลยไม่เกี่ยงที่จะมาเที่ยวในช่วงนั้นค่ะ
อีกอย่างราคาห้องพักของรีสอร์ทเราไม่แพงด้วย ในช่วงปกติจะอยู่ที่ 600-1,600 บาท/คืน ถ้าเป็นช่วงหน้าร้อนก็จะลดราคาลง โดยเริ่มต้นที่ 450 บาท/คืนเท่านั้น ซึ่งราคาถูกมาก เพราะเราอยากให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวที่ จ.น่าน กันได้ทุกฤดูกาล ที่สำคัญบริเวณรอบๆ รีสอร์ทยังมีธรรมชาติที่สวยงาม เพราะตั้งอยู่บนภูเขาลูกเล็กๆ จึงสามารถมองเห็นวิวได้ไกลกว่า เห็นภูเขาที่อยู่ไกลๆ ได้ และยังเห็นก้อนเมฆยามเช้าตอนตื่นนอนอีกด้วย
ในช่วงเทศกาลอย่างปีใหม่ ปุยมักจะเดินทางมาอยู่กับครอบครัว มาช่วยดูแลรีสอร์ท และทำขนม เช่น ข้าวเกรียบปากหม้อ ให้ลูกค้าที่มาพักได้กินเสมอ ชีวิตปุยจะแบ่งเป็น 2 พาร์ตคือ ช่วงที่ไม่ใช่เทศกาลปุยจะใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพฯ โดยทำงานและเรียน ป.โท ซะส่วนใหญ่ อย่างที่เกริ่นไปว่าปุยดูแลเรื่องการตลาดและออนไลน์ ฉะนั้นจึงสามารถทำงานผ่านคอมพิวเตอร์ได้ทุกที่เลยค่ะ”
ปุยบอกว่า ครอบครัวเธอเปิดรีสอร์ทแห่งนี้มาได้ 3 ปีแล้ว ก็ถือว่าได้รับฟีดแบ็กที่ดีและมีลูกค้าสม่ำเสมอ เพราะมีการบอกต่อกันแบบปากต่อปาก บางส่วนก็ดูข้อมูลมาจากเฟซบุ๊ก ในอนาคตอันใกล้นี้เธอและครอบครัวก็มีความคิดที่จะขยายพื้นที่รีสอร์ทในเฟสที่ 2 ขึ้น โดยจะทำเป็นบ้านพักหลังเล็กๆ สัก 10 หลัง พร้อมทั้งปลูกกาแฟให้ผู้ที่มาพักสามารถเข้าไปเดินชมไร่กาแฟเล่นๆ ได้ด้วย
“อีกธุรกิจหนึ่งที่ปุยคิดไว้ก็คือ การผลิตกาแฟคั่วบดแบรนด์ของตัวเองในชื่อ ‘ภูวังผา คอฟฟี่’ โดยจะใช้กาแฟพันธุ์อราบิกา ที่เราต้องไปรับซื้อเมล็ดกาแฟพันธุ์นี้มาจากสหกรณ์ชุมชนชาวเขาเผ่าเมี่ยนอีกที ในเมื่อ จ.น่าน ของเรามีของดีอย่างกาแฟพันธุ์นี้อยู่แล้ว ปุยเลยคิดว่า ทำไมเราไม่ทำแบรนด์กาแฟของจังหวัดเราให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปล่ะ แถมยังช่วยให้ชาวเขามีรายได้อีกด้วย ดังนั้นปุยจึงตัดสินใจที่จะทำกาแฟคั่วบดแบรนด์นี้ขึ้นมาซะเลย ซึ่งตอนนี้ก็กำลังอยู่ในขั้นตอนของการออกแบบผลิตภัณฑ์และจดทะเบียนบริษัทอยู่ค่ะ ก็น่าจะเปิดตัวได้ในเดือน พ.ค.นี้”
สาวสวยเสริมว่า การที่ชีวิตของเธอมีหน้าที่ทั้ง 2 พาร์ตคือ ทำงานอยู่ในเมืองหลวง พร้อมกับช่วยดูแลธุรกิจของครอบครัวไปด้วยนั้น ทำให้เธอได้เรียนรู้ชีวิตและเรียนรู้หน้าที่ความรับผิดชอบในเรื่องการทำงานมากขึ้น
“ในส่วนของพาร์ตที่ต้องทำงานที่กรุงเทพฯ ซึ่งต้องเป็นลูกจ้าง เราก็จะรู้ว่าความกดดันหน้างานนั้นเป็นยังไง ทำให้ได้เรียนรู้ว่าในมุมมองของลูกค้าแล้ว พวกเขาต้องการอะไร และเมื่อหันกลับไปมองในพาร์ตของตัวรีสอร์ทที่เราเป็นเจ้าของ เราก็จะรู้ได้ว่าควรจะตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างไร รู้ว่าโลกภายนอกคิดยังไง แม้จะเหนื่อยมากก็จริง แต่การดูแลรีสอร์ทก็เป็นธุรกิจของครอบครัวเราเอง ปุยจึงรู้สึกภูมิใจและสนุกกับการทำงานในอนาคตก็อยากจะพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ
ปุยว่าการที่เราทำงานและสะสมความเครียดจากสังคมเมืองไว้มากๆ พอได้กลับไปอยู่กับธรรมชาติก็จะช่วยทำให้ชีวิตเราผ่อนคลายขึ้น รวมทั้งรู้สึกสงบและมีความสุขมากขึ้น เพราะ จ.น่าน นี่ขึ้นชื่อในเรื่องวิถีชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์อยู่แล้ว ในช่วงที่ปุยกลับมาช่วยดูแลรีสอร์ท ปุยจะตื่นเช้ากว่าตอนอยู่กรุงเทพฯ ทุกวันเลย พอตื่นขึ้นมาแล้วมันรู้สึกสดชื่น เพราะชีวิตคนน่านจะดำเนินไปแบบช้าๆ ถึงแม้ต้องทำงานที่รีสอร์ทไปด้วย เราก็จะรู้สึกว่าชีวิตมันเดินไปแบบช้าๆ และสบายใจดีค่ะ”
ในช่วงหน้าร้อนนี้เธอก็จะเรียนจบปริญญาโทแล้วล่ะ นับว่าเป็นข่าวดีจริงๆ ปุยบอกว่าเมื่อเรียนจบแล้ว จุดมุ่งหมายในอนาคตนอกจากสร้างแบรนด์กาแฟแล้ว เธอยังมุ่งเน้นไปที่การพัฒนารีสอร์ทให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
“คือปุยเรียนเกี่ยวกับการสร้างแบรนด์มาโดยตรงไง ในอนาคตปุยจึงอยากจะทำรีสอร์ทให้มันเป็นระบบมากกว่าที่เป็นอยู่ ปุยตั้งเป้าไว้ว่าอยากทำให้รีสอร์ทแห่งนี้เป็นรีสอร์ทสีเขียวและเป็นที่รู้จักของผู้คนให้มากขึ้น ใครผ่านมาเที่ยวที่ จ.น่าน ก็อยากให้คิดถึงเราเป็นอันดับต้นๆ ถ้ามาแล้วต้องหยุดแวะพักที่นี่ ถ้าไม่ได้มาพักก็เหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง (ยิ้ม)
ในอนาคตปุยยังคิดไว้ว่าจะทำร้านกาแฟที่รีสอร์ทด้วย คืออยากทำให้ที่นี่เป็นเสมือนวิถีชุมชนของเรา มีการชักชวนให้ผู้คนสวมใส่ชุดผ้าทอมือพื้นเมืองหรือชุดล้านนา เพื่อช่วยตอกย้ำให้ผู้คนได้ตระหนักถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิมของตัวเอง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ จ.น่าน ที่ควรเก็บรักษาเอาไว้ ก่อนจะถูกหลงลืมและลบเลือนหายไป”…อัพเดทข้อมูลได้ที่ FB : ภูพิพัฒน์ รีสอร์ท และ IG : phupipat_resort


