posttoday

ใช้ชีวิตอย่างตรึกตรอง ภาชีวี เจริญสุข

09 เมษายน 2560

บางคนก็อยากใช้ชีวิตให้ช้าลง แต่ในขณะที่เรายังมีหน้าที่การงานต้องรับผิดชอบ การจะละทิ้งทุกอย่างแล้วมาใช้ชีวิตแบบช้าๆ

โดย...วราภรณ์  ภาพ : ทวีชัย ธวัชปกรณ์

บางคนก็อยากใช้ชีวิตให้ช้าลง แต่ในขณะที่เรายังมีหน้าที่การงานต้องรับผิดชอบ การจะละทิ้งทุกอย่างแล้วมาใช้ชีวิตแบบช้าๆ เสียทีเดียวคงเป็นไปไม่ได้ แต่ ครูแอร์-ภาชีวี เจริญสุข วัย 43 ปี นักการตลาดดูแบรนดิ้งและประชาสัมพันธ์ให้กับเกษรวิลเลจ ควบคู่กับการเป็นครูสอนด้านการร้องเพลงและการใช้เสียงโดยมีสตูดิโอชื่อ ครูแอร์ โวคัล สตูดิโอ เธอมีวิธีจัดการดึงจิตใจและความคิดของตัวเองให้ช้าลงได้ ซึ่งเครื่องมือช่วยก็คือ “ธรรมะ” และครูแอร์ยังจัดสรรเวลาเพื่อมีเวลาว่างทำให้ชีวิตสโลว์ขึ้นในวันหยุด ที่ใครๆ ก็สามารถทำได้

เติมเต็มความฝันคือการเป็นครูสอนร้องเพลง 

คนบางกลุ่มอาจคุ้นหน้าครูแอร์จากการชมเรียลิตี้ประกวดร้องเพลงในรายการ “อะคาเดมี แฟนเทเชีย” ซีซั่นที่ 10 และ 11 เพราะเธอเป็นครูสอนร้องเพลง 1 ใน 15 ทีมงานระดับหัวกะทิของ ครูโรจน์-รุ่งโรจน์ ดุลลาพันธ์ และ เดอะ โพรเฟสชันนัล บาย ครูโรจน์ ที่เข้าไปสอนนักล่าฝันถึงในบ้าน ซึ่งการร้องเพลงเป็นความฝันของครูแอร์มาตั้งแต่อายุเพียง 7 ขวบ ได้รู้จักกับครูโรจน์ครั้งแรกขณะดูรายการ “ตามไปดู” ที่ไปสัมภาษณ์ครูโรจน์เกี่ยวกับเทคนิคการร้องเพลง ทำให้เด็กหญิงแอร์ได้เปิดโลกและรู้ว่าเขามีการสอนเทคนิคการร้องเพลงในรูปแบบโวคัล เทคนิคด้วย แต่เธอเก็บความฝันเอาไว้จนกระทั่งแต่งงานมีครอบครัวในวัย 30 ปี และเธอก็ได้ส่งต่อความฝันไปถึงลูกชายวัย 6 ขวบ ด้วยการส่งไปเรียนร้องเพลงกับทีมงานของครูโรจน์ และในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเรียนร้องเพลงและก้าวขึ้นสู่การเป็นคุณครูสอนด้านการใช้เสียงที่มีชื่อเสียงอยู่ในปัจจุบัน

“เวลาสอนเด็กๆ ร้องเพลงจะเกิดความสุขจากการสอนมากๆ แอร์มีความเชื่อว่าอาชีพที่อยู่บนยอดพีระมิดในด้านของจิตใจคืออาชีพครู เพราะเป็นอาชีพที่ต้องมีเมตตาและเป็นผู้ให้ 100% คำว่า ไม่มีเรา ไม่มีตัวตน นั่นใช่เลย แอร์จึงทุ่ม 100% เพื่อนักเรียน อาชีพครูถือเป็นการได้ใช้ชีวิตที่มีคุณค่ามากๆ เสาร์-อาทิตย์ แอร์จะแบ่งเวลาเพื่อใช้ชีวิตที่ทำเพื่อคนอื่น คือการสอนร้องเพลงเพื่อทำความฝันของคนอื่นให้เป็นจริงเหมือนเรา”

ใช้ชีวิตอย่างตรึกตรอง ภาชีวี เจริญสุข

ก้าวแรกของการเข้าสู่ธรรมะ

อย่างที่เกริ่นว่าธรรมะเป็นเครื่องมือที่ทำให้มนุษย์เราอยู่กับปัจจุบันได้ดีที่สุด ครูแอร์เล่าว่าเธอเริ่มสนใจธรรมะเมื่อ 7 ปีที่แล้วจากกัลยาณมิตรที่ดีท่านหนึ่ง กรกฎ ศรีวิกรม์ ซึ่งเป็นเจ้านายที่แนะนำเรื่องการนั่งวิปัสสนาและปฏิบัติธรรม ถือเป็นสิ่งใหม่ที่เข้ามาในชีวิตของครูแอร์ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน

“ตั้งแต่เด็กไม่ใช่คนใกล้วัด ครั้งแรกนายบอกว่าต้องไปนะไปนั่งวิปัสสนา เราก็สมัครทางเว็บไซต์โดยที่ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเขาทำกันอย่างไร แอร์ก็ลางานเลย 10 วันเพื่อไปปฏิบัติธรรม ครั้งนั้นทำให้แอร์ได้เข้าถึงธรรมะแบบจริงๆ 10 วันแห่งการนั่งวิปัสสนา ห้ามพูด ห้ามเขียน ห้ามอ่าน เครื่องมือเดียวของธรรมะที่บริสุทธิ์คือลมหายใจ เราอยู่กับลมหายใจของเราอย่างเดียว แค่มีสติกับลมหายใจ สังเกตการณ์การสั่นสะเทือนของร่างกาย ทุกอย่างในร่างกายเราเป็นสสาร ผิวหนังเราในแต่ละวันมีแต่จะเหี่ยวผุพังไป วิปัสสนาคือการมองเห็นอนิจจังที่เกิดขึ้นในร่างกาย แอร์สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในร่างกายเราที่ละเอียดมากๆ”

ภาชีวี บอกว่า การนั่งวิปัสสนาทำให้เธอได้เรียนรู้ชีวิต แม้แต่เรื่องการกินก็พิจารณามากขึ้น “เวลาไปสอนนักเรียน แอร์ไม่ได้สอนแค่การร้องเพลง แอร์สอนการใช้ชีวิตด้วย แอร์อยากให้เด็กมีแนวความคิดที่ดี ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แอร์ได้เรียนเรื่องธรรมะสองอย่าง ต้องให้เครดิตท่านโกเอ็นก้า แอร์เคยเข้าร่วมหลักสูตร แลนด์มาร์ค ฟอรั่ม สอนเรื่องการแยกแยะมุมมองของเรา ที่ใช้ได้ในชีวิตประจำวันที่แอร์คิดว่าจับต้องง่ายกว่าธรรมะ”

ครูแอร์ถ่ายทอดว่า ท่านโกเอ็นก้าสอนถึงวิธีการปฏิบัติวิปัสสนาเกี่ยวกับกฎธรรมชาติพื้นฐานที่ว่า เมื่อใดก็ตามที่มีกิเลสหรือความไม่บริสุทธิ์เกิดขึ้นในใจ จะมีปรากฏการณ์สองอย่างเกิดขึ้นที่ร่างกายด้วย อย่างแรกคือ ลมหายใจจะผิดปกติ คือจะเริ่มหายใจแรงขึ้นเมื่อมีความไม่บริสุทธิ์หรือความขุ่นมัวเกิดขึ้นในใจ นี่เป็นความเป็นจริงที่หยาบและชัดเจนมาก ซึ่งทุกคนสามารถรับรู้ได้ ขณะเดียวกันในระดับที่ลึกลงไป ก็จะมีปฏิกิริยาเคมีเกิดขึ้นกับร่างกาย ซึ่งครูแอร์สามารถนำมาปรับใช้ได้ในการดำเนินชีวิต คือหากเกิดอะไรขึ้นในชีวิต จิตเราอย่าคิดสมมติไปเองจนบางครั้งคิดว่าเป็นเรื่องจริง วิธีสอนวิธีคิดแบบนี้จะทำให้เราอยู่กับความเป็นจริง ให้เกิดความสงบสุขขึ้นในใจ และมีพลังใช้ชิวิตได้เต็มที่เพราะชีวิตจะไม่คิดรุงรัง และจะส่งผลให้ผู้ปฏิบัติมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบุคคลอื่น  

ข้อดีของการใช้ธรรมะชำระจิตใจ

สิ่งชัดเจนที่ภาชีวีได้สัมผัสถึงข้อดีของการใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิตก็คือ เธอสามารถใช้ชีวิตจริงๆ ของเธอได้โดยรู้จักตัวเองมากขึ้น รู้ว่าตนเองต้องการอะไร ซึ่งแตกต่างจากก่อนที่จะรู้จักธรรมะคือ เรามักรู้จักคนอื่นหมด แต่ไม่เคยรู้จักจักรวาลตัวเองเลย

“แต่ก่อนเรามักตัดสินคนอื่นตลอดเวลา ปัจจุบันเราแค่เห็นใครคนใดคนหนึ่ง แอร์จะไม่ตัดสินเขา เช่น เห็นคนนั่งกินข้าวคนเดียว อย่าไปคิดว่า ทำไมเธอไม่มีเพื่อนล่ะ เหงาไหม สงสัยไม่มีแฟนแน่เลย น่าสงสารจัง เราควรจะแค่เห็นก็แค่นั้น อย่าคิด อย่าตัดสินอะไร ให้มองตามความจริง แล้วไม่ต้องไปตัดสิน แล้วเราจะเกิดความสุข ความทุกข์จะไม่เข้ามา แล้วเราจะส่งต่อความสุขออกไปได้ด้วย การที่เราบ่นสิ่งรอบตัว เช่น ฝนตก มันส่งผลกระทบกระจายความทุกข์ให้คนอื่น มนุษย์มีแค่ 2 อย่าง คืออยากได้แล้วไม่ได้ เช่น อยากได้บ้าน อยากได้รถ อยากได้คนคนนั้น เราจึงเกิดความทุกข์ อันที่ 2 คือ ไม่อยากได้ แล้วได้ เช่น ไม่อยากได้โรคมะเร็งแต่มันมา ไม่อยากได้ความแก่ ไม่อยากได้รถติด ไม่อยากได้อากาศร้อน สิ่งเหล่านี้คือกิเลสล้วนๆ เราก็แค่ มันไม่มีสิ่งที่อยากได้และไม่อยากได้ แต่มันมีแค่การยอมรับความเป็นจริงอย่างมีสติ”

มุมมองการใช้ชีวิตหลังสัมผัสธรรมะ ภาชีวี บอกว่า มีความทุกข์น้อยลง รู้สึกสุขสงบ จึงสามารถใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไปไหนก็สะดวกปลอดโปร่ง รู้สึกว่าพอปฏิบัติธรรมมาตลอด 7 ปี เธอรู้สึกว่าชีวิตมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต เช่น นักเรียนน่ารัก มีเพื่อนฝูงมาขอคำปรึกษาชีวิตตลอด

ใช้ชีวิตอย่างตรึกตรอง ภาชีวี เจริญสุข

สโลว์ไลฟ์ คือ การจัดตารางชีวิตของเราให้ดี

ภาชีวีบอกอย่างน่าคิดว่า เราเติบโตมาในยุคเร่งรุดพัฒนา ทุกอย่างจึงต้องเร็ว แต่พออายุก้าวเข้าวัย 40 เราเริ่มได้ยินคำว่า สโลว์ไลฟ์ ซึ่งเป็นเหมือนคำกระตุก จริงๆ แล้วแค่เราไม่ต้องเร่งรุด แค่อยู่กับโมเมนตั้มเดิมๆ ไม่ต้องกินผัดกะเพราใส่กล่องแช่ในฟรีซเซอร์ แล้วลองใช้ชีวิตที่ไม่ต้องเร่งรุด คือลองทำผัดกะเพรากินเองที่บ้าน ลองไปเลือกซื้อเนื้อคุณภาพดี ค่อยๆ หากะเพราแดง หรือจะลองปลูกเองหลังบ้านก็ได้ ซึ่งเธอก็ปลูกผักสวนครัวไว้กินเอง

“ตามร้านผัดกะเพราอาจใส่เครื่องปรุง 6 อย่าง แต่เราทำเองที่บ้านเราค่อยๆ ใส่เครื่องปรุงที่เราเลือกมาอย่างดี ซึ่งในยุคเราความละเมียดแบบนั้นหายไปหมดแล้ว อย่างตัวแอร์จะเอาเวลาครึ่งวันของวันเสาร์เช้า ที่เราจะให้เวลากับชีวิต แอร์จะนั่งสมาธิ ทำอาหารให้ลูกกิน พิจารณารายละอียด ทำแบบเลือกสรร เข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง เช่น จะทำแกงแกะเราก็นั่งคิด เราทำกินเพื่อรู้วัฒนธรรมของชาติเขา ทำไมเขาต้องใส่ขมิ้น ใส่ลูกผักชีเพราะแกะมันเหม็นสาบ มันเป็นรายละเอียดของชีวิต ลองหมักใส่ขิงดู ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ของแอร์คือ ทำอาหารแบบสโลว์คุก เลยเข้าใจว่าคนอินเดียมีกลิ่นตัวเป็นกลิ่นเครื่องเทศเพราะอะไร ทุกอย่างคือการเรียนรู้ เราไม่ต้องทิ้งการใช้ชีวิตไป แอร์มองว่าสโลว์ไลฟ์คือการจัดตารางชีวิตของเราให้ดี ไม่ใช่การทิ้งเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่เราต้องมีการออร์แกไนซ์ที่ดี เช่น รีบทำงานให้เสร็จเพื่อให้มีเวลาทำกับข้าว ใช้ชีวิตบางโมเมนต์โดยที่เราเลือกว่าไม่ต้องรีบ”

การใช้ชีวิตช้าๆ ที่ภาชีวีปฏิบัติอยู่เป็นประจำคือ การกินข้าวคนเดียวเงียบๆ กินเพื่อให้รู้รสอาหาร และจิตอยู่กับ ณ ปัจจุบันให้ได้มากที่สุด

“อย่างทำกับข้าวแอร์จะไม่รีบ ทำเพื่อให้ได้เรียนรู้ตรงนั้น แอร์ปลูกกะเพราเอง เพราะเราต้องการทำ แอร์เรียนเรื่องการปรุงดินเพื่อปลูกต้นไม้อย่างไรไม่ให้ตาย ดินอร่อยผลไม้ก็อร่อย จับหัวใจให้ได้ และเรียนรู้พัฒนาตัวเอง การเร่งรุดทำให้เราวิ่งผ่านมันไป แต่สโลว์ไลฟ์คือใช้ชีวิตอย่างมีรายละเอียดแล้วไม่ต้องเลือก”

ขอขอบคุณ : ร้าน Patom สุขุมวิท 49 เอื้อเฟื้อสถานที่ในการถ่ายภาพ

ข่าวล่าสุด

เลิกวนลูป! ส่อง 3 เป้าหมายยอดนิยมที่คนไทยตั้งไว้ทุกต้นปี เป็นจริงได้อย่างไร?