ดื่มเพื่อลืมเธอ
ลืมกับดื่มใกล้กันเสียจนแยกแยะไม่ออก ในประสบการณ์ที่พบเห็นมา ใครหลายคนดื่มอย่างหนักก็เพื่ออยากลืม แม้มิอาจรื้อถอนออกได้อย่างหมดจด แต่เพียงบางช่วงเวลาซึ่งไม่ต้องคิดถึงให้เจ็บปวด....
ลืมกับดื่มใกล้กันเสียจนแยกแยะไม่ออก ในประสบการณ์ที่พบเห็นมา ใครหลายคนดื่มอย่างหนักก็เพื่ออยากลืม แม้มิอาจรื้อถอนออกได้อย่างหมดจด แต่เพียงบางช่วงเวลาซึ่งไม่ต้องคิดถึงให้เจ็บปวด....
โดย...อภิวัจ สุปรีชาวุฒิพงศ์
“ดื่มเพื่อลืมเธอ” วลีที่ได้ยินกันบ่อยในวงเหล้า จนกลายเป็นคำยอดนิยมที่หลายคนพูดติดปากมานานแล้ว ไม่รู้ว่ามีที่มาอย่างไร
เรื่องเล่าจากหมู่บ้านไทลื้อแถวๆ ชายแดน จ.เชียงราย ที่เคยได้ยินมา ทำให้ผมได้รู้สึกว่าบางครั้ง “ดื่ม” และ “ลืม” ใกล้ชิดกันอย่างยิ่ง เรื่องเล่านั้นว่ากันว่า หนุ่มคนเมืองไปรับราชการเป็นครูในหมู่บ้านไทลื้อมาตั้งแต่วัยหนุ่ม อยู่มานานจนผูกพันรักใคร่กับชาวบ้าน
ไทลื้อมีความพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง คือไม่สามารถออกเสียง ด.เด็กได้ แต่จะออกเสียงเป็น ล.ลิง ในหมู่บ้านไทลื้อจึงมีแต่รถเครื่องฮอนล่าเต็มไปหมด
ชายหนุ่มเป็นครูในหมู่บ้านไทลื้อมานาน จนเข้าสู่วัยกลางคน วันหนึ่งก็มีคำสั่งย้ายกลับเข้าเมือง ด้วยความผูกพัน ชาวบ้านจึงจัดงานเลี้ยงส่ง แน่นอนว่าในวาระแห่งความอาวรณ์เช่นนี้ ทั้งกับแกล้มทั้งเหล้าก็เข้าปากไปหลาย
ตามธรรมเนียมพ่อหลวง หรือผู้ใหญ่บ้าน ก็ขึ้นกล่าวสรรเสริญคุณงามความดี ความรัก ความผูกพันของชาวบ้านที่มีต่อครู จนหลายคนน้ำตาซึมด้วยความอาวรณ์ กล่าวเสร็จพ่อหลวงก็ชูแก้วขึ้นแล้วบอกว่า
“เอ้าพวกเรา ลืม” ฝ่ายครูที่กำลังฟังอย่างซาบซึ้ง เมื่อได้ยินเสียงพ่อหลวงบอกให้ลืม ก็ตกใจ เวลานับ 10 ปี ที่รู้จักรักใคร่ ไม่มีบ้านใดที่ไม่เคยแวะเวียนเยี่ยมเยียน ยามที่เจ้าของเรือนเรียกหา ชักชวนให้ขึ้นไปกินข้าว กินน้ำ แต่อยู่ๆ ในช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันครั้งสุดท้าย พ่อหลวงกลับบอกให้ลืมเสีย
ครูลุกขึ้น ร่างโงนเงน พลางตะโกนเสียงดัง “ผมไม่ลืม”
พ่อหลวงเห็นอาการครูก็เอะใจว่าไฉนออกอาการขัดใจชาวบ้าน จึงตะโกนสวนมาว่า ครูต้องลืม ครูก็สวนกลับว่า ไม่ลืม
พ่อหลวงเห็นอาการของครูจึงไม่อยากขัดใจ ชูแก้วขึ้นอีกครั้งแล้วพูดว่า “ครูไม่ลืมไม่เป็นไร ผมลืมเองก็ล่าย เอ้าพวกเราลืม” แล้วคนทั้งหมู่บ้านก็ยกจอกเทเหล้าเข้าปากอย่างพร้อมเพรียงกัน
ครูจึงรู้ระลึกขึ้นได้ทันที ว่าในขณะนั้นลืมและดื่มสำหรับเขามันผสมใกล้ชิดกันจนแยกไม่ได้ บางครั้งความอาวรณ์ก็สั่นไหวความรู้สึกจนทำให้สูญเสียความทรงจำอันคุ้นชินมานาน
ลืมกับดื่มใกล้กันเสียจนแยกแยะไม่ออก ในประสบการณ์ที่พบเห็นมา ใครหลายคนดื่มอย่างหนักก็เพื่ออยากลืม แม้มิอาจรื้อถอนออกได้อย่างหมดจด แต่เพียงบางช่วงเวลาซึ่งไม่ต้องคิดถึงให้เจ็บปวด...ก็คุ้มค่า
ห้วงความทุกข์อันหนักหนา ทำให้กัลยาณมิตรของผมคนหนึ่งใช้การดื่มเพื่อหลีกหนีจากความกังวลอันเจ็บปวด
มิใช่ความรู้สึกอกหัก รักคุด ช่วงชีวิตที่ผ่านวัยหนุ่มมากว่า 10 ปี เขารู้จักความรู้สึกนี้ดีจนไม่ยากเกินกว่ารับมือ แต่ภาวะใหม่ที่กำลังเผชิญเป็นสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคยมาก่อน มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากความกล้าหาญทำหน้าที่เพื่อปกป้องสิ่งที่เรียกว่า “ความถูกต้อง” ซึ่งไปทำให้ไม่ถูกใจใครหลายคน
ในห้วงยามนั้นเขาดื่มอย่างหนัก ภาระการงานอาจช่วยหักเหความคิดคำนึงถึงภาวะกดดันที่เผชิญหน้า แต่ยามค่ำคืนอันเดียวดาย เสมือนพลัดหลงกลางป่าลึก ความรู้สึกนั้นเสมือนศัตรูคู่อาฆาตที่ไล่ล่า และได้โอกาสจู่โจมทำร้ายให้เจ็บปวดจนมิอาจข่มตานอน
เพื่อนในวงเหล้า คือสิ่งที่ช่วยให้เขาหนีออกจากความหวาดผวาที่ตามไล่ล่า ทุกห้วงที่หันกลับไปคิดถึง
วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า เมื่อร่างกายมิอาจทานรับ รวมทั้งยังส่งผลถึงชีวิตในด้านอื่นๆ เขาปรับวิธีการใหม่ แต่มิได้เลิกลาจากวงเหล้า
เที่ยงคืนคือเวลาที่เขากำหนดให้ตัวเองต้องทิ้งจากวงเหล้าเพื่อไปนอน อย่าแปลกใจหากช่วงเวลาก่อนเที่ยงคืน เขาจะดื่มอย่างหนัก เพื่อคาดหวังให้ความเมามายกดข่มเปลือกตาและความรู้สึกให้ปิดลงในยามที่ล้มตัวลงนอน
“ซินเดอเรลลากลางวงเหล้า” ผมเคยเรียกเขาอย่างนั้น
นอกเหนือจากเหล้า การเดินทางเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขาหลบหนีการไล่ล่าของความรู้สึกหวาดผวา เจ็บปวด
เพียงที่สักแห่ง ใครสักคน หรืออะไรสักอย่าง เพื่อชะล้างความเข้มข้นของความรู้สึกในใจให้เจือจาง
มิใช่ความสวยงามของสถานที่ มิใช่มิตรภาพของมิตรสหายที่ได้ผ่านพบเท่านั้น แต่ยังมีทุกข์ยากท่วมแผ่นดินที่พบเห็น ซึ่งช่วยชะล้างความเจ็บปวดให้เจือจางไป
ชายหนุ่มยังคงดื่ม แต่ด้วยความรู้สึกที่ต่างไปแล้ว
ครั้งสุดท้ายในค่ำคืนหนึ่ง มิตรสหายที่ห่วงใยได้ยินเสียงขบกรามดังผ่านไรฟันออกมาเป็นระยะ ก่อนหน้านั้นระหว่างเส้นทางจากชายแดนเชียงของเข้าสู่ตัวเมืองเชียงราย การพูดคุยไถ่ถามถึงหญิงสาวคนหนึ่ง เป็นประเด็นพูดคุยสุดท้ายก่อนที่เขาจะล้มตัวนอนแบบสิ้นสติ
แม้ผ่านความกดดันอย่างหนักหน่วงที่อาจพลิกเปลี่ยนชีวิตมาแล้ว แต่ด่านความรักยากผ่านพ้น แม้รู้ว่าอาจเป็นหลุมพรางซึ่งหากพลัดตกไปย่อมเจ็บปวด แต่ใครหลายคนยินยอมสัมผัสความเจ็บปวดอันรื่นรมย์นี้
เอ้า...ลืม


